วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

คำแถลงในการจดแจ้งชื่อพรรค “อนาคตใหม่”

On March 19, 2018
ปิยบุตร แสงกนกกุล โพส๖์ผ่านเฟสบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul (17 มีนาคม )  นำคำแถลงเนื่องในโอกาสจดแจ้งชื่อพรรคอนาคตใหม่ ที่ผมได้อ่านในวันที่ 15 มีนาคม 2561 มาเผยแพร่อีกครั้ง

คำแถลงในโอกาสจดแจ้งชื่อพรรคอนาคตใหม่

คุณคิดว่าเราและลูกหลานของเราจะมีอนาคตแบบใดในประเทศที่อยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองอย่างร้าวลึกมากว่าทศวรรษ ? ในประเทศที่รัฐประหารซ้ำซาก ฉีกรัฐธรรมนูญทุกๆ 4 ปี ? ในประเทศที่กองทัพฉวยโอกาสเข้าครองอำนาจอยู่เสมอในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤต ?

ประเทศไทย ประเทศของเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

สถานการณ์ที่ ด้านหนึ่ง การเมืองแบบแบ่งขั้วอย่างชนิดที่ไม่สามารถหาจุดร่วมกันได้เลย เป็นอุปสรรคต่อการเจรจาปรึกษาหารือกัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง การเมืองแบบเผด็จการทหาร ก็ปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กดทับเอาปัญหาทั้งหมดไว้อยู่ภายใต้อำนาจปืน ทำให้ความขัดแย้งไม่อาจยุติลง ไม่อาจแสวงหาฉันทามติร่วมกันของคนในชาติได้ ตรงกันข้าม กลับทำให้ความขัดแย้งร้าวลึกลงไปอีก

การเมืองไทยถูกแบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย ผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายต่างทุ่มสรรพกำลังไปกับการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งๆที่เอาเข้าจริงแล้ว ผู้สนับสนุนฝักฝ่ายทางการเมืองทั้งหลาย ต่างก็เป็น “ประชาชน” ผู้ใฝ่ฝันถึงระบอบการเมืองที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจที่ดี สำหรับตนเองและลูกหลาน ความขัดแย้งระหว่าง “ประชาชน” ด้วยกันนี้ มีแต่ทำให้ประชาชนแย่ลง ในขณะที่ผู้มีอำนาจอยู่ไม่กี่คนกลับตักตวงเอาผลประโยชน์จากความขัดแย้ง

เราจะออกจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?

พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีพลังใหม่เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อนำพาประเทศออกจากภาวะวิกฤติ

พวกเราจึงรวมตัวกันริเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อความหวังในการกลับสู่ประชาธิปไตย เพื่อเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ และเพื่อปรับภูมิทัศน์การเมืองไทยให้ดีขึ้น

ประการแรก พรรคอนาคตใหม่ จะทำให้ประชาชนคนไทยเห็นร่วมกันว่าเราสามารถกลับสู่การเมืองแบบประชาธิปไตยได้

วิกฤตความขัดแย้งตลอดทศวรรษ ทำให้กองทัพฉวยโอกาสครองอำนาจได้อย่างยาวนานโดยอ้างตนเป็น “คนกลาง” เข้ามาแก้ไขวิกฤต ทั้งๆที่ ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพเป็นคู่ขัดแย้งและเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา พวกเขาสร้างภาพหลอนอันน่าสะพรึงกลัวว่า หากกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย กลับไปสู่การเลือกตั้ง ก็ต้องพบกับความขัดแย้งและความรุนแรงแบบที่เป็นมา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทนอยู่กับระบอบเผด็จการเช่นนี้เรื่อยไป ผู้คนจำนวนมากเบื่อหน่าย “การเมือง” ท้อแท้สิ้นหวังจนพาลไปคิดว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่อาจแก้ไขปัญหาได้

การสร้างพรรคการเมืองแบบใหม่ ช่วยกระตุกความคิดของคนในสังคม จากที่รู้สึกว่าไม่มีทางออก มีแต่ทางตัน กลายเป็น มีทางออก มีทางเลือกใหม่ ทางเลือกที่ทำให้คนมีความคาดหวังว่าการเมืองจะดีขึ้น ทางเลือกที่ทำให้คนพร้อมที่จะกลับไปสู่การเลือกตั้ง กลับไปสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย และเชื่อมั่นว่าความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องปกติที่ประชาชนสามารถแก้ไขได้เอง

ประการที่สอง พรรคอนาคตใหม่ มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่ประเทศไทย

พรรคอนาคตใหม่ มีวิธีการบริหารจัดการแบบใหม่ หลอมรวมคนที่ไม่ยอมจำนนต่อสิ่งที่เป็นอยู่ หลอมรวมคนที่มีความรู้ความสามารถเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อลงมือสร้างการเมืองแบบใหม่ และนำเสนอนโยบายก้าวหน้า

นโยบายที่เน้นการกระจายอำนาจ นโยบายที่ทำให้ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม พัฒนาคุณภาพชีวิต ประชาชนเข้าถึงทุนและทรัพยากร ทลายการผูกขาดทางเศรษฐกิจ พัฒนาระบบสวัสดิการที่สร้างหลักประกันอย่างถ้วนหน้าให้แก่คนทุกคนตั้งแต่เกิด ในยามแก่ ในยามเจ็บ และจนวันตาย

นโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทายใหม่ สร้างกฎหมายให้ทันกับยุคสมัย เอื้อต่อธุรกิจในรูปแบบใหม่ มิใช่เป็นอุปสรรคขัดขวาง

ประการสุดท้าย พรรคอนาคตใหม่ต้องการเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยใหม่

พรรคอนาคตใหม่ มุ่งทำงานอย่างสร้างสรรค์ นำเสนอนโยบาย และลงมือปฏิบัติ

พรรคอนาคตใหม่ มีประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของผ่านการระดมทุนและระดมสมอง บริหารจัดการแบบประชาธิปไตยจากรากฐาน เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับทุกเสียง นโยบายมาจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการและการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

การดำเนินการตามแนวทางนี้ จะทำให้พรรคอนาคตใหม่สามารถ “ปักหมุด” และ “ชิงพื้นที่” เพื่อเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยได้

การเมืองจะไม่ใช่การทำลายล้างศัตรู แต่การเมือง คือ การสร้างสรรค์

การเมืองจะไม่ใช่เรื่องสกปรกหรือใส่ร้ายป้ายสี แต่การเมือง คือ ความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเป็นไปได้เสมอ เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำ

การเมืองจะไม่ใช่การแก่งแย่งตำแหน่ง เพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่การเมือง คือ การแข่งขันเข้าสู่อำนาจเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน

การเมืองจะไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำทางการเมืองไม่กี่คน เทคโนแครตผู้เชี่ยวชาญ หรือข้าราชการเท่านั้น แต่การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ

พรรคการเมืองแบบนี้ อาจไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในการเมืองไทย และคงไม่มีใครคาดหวังว่าพรรคการเมืองในลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จริงในการเมืองไทย

แต่ก็นั่นแหละ อดีตเป็นบทเรียนและประสบการณ์ อดีตไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคต อนาคตเป็นของเรา หากเราเชื่อว่าเป็นไปได้ และลงมือทำ เช่นนี้ ก็คือพวกเราเองที่เป็นผู้กำหนด

ประเทศไทยสูญเสียเวลาและโอกาสไปมากพอแล้ว ประชาชนคนไทยต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ประชาชนคนไทยมีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ขอเพียงแต่มีการเมืองแบบประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์และเข้มแข็ง

ไม่มีใครที่มีความชอบธรรมเพียงพอในการกำหนดอนาคตให้แก่เราได้ นอกจากตัวเราเอง

นี่คือ ห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ หากประชาชนไม่ร่วมมือกันกำหนดอนาคตของตนเอง เพื่อนำพาประเทศไทยออกจาก “ทศวรรษที่สูญหาย” ประเทศไทยจะเสียหายมากกว่านี้ และเราอาจไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาได้อีกแล้ว

ต้องออกจาก “ทศวรรษที่สูญหาย” มุ่งหน้าสู่ “ทศวรรษแห่งการทวงคืนอนาคต”

ร่วมทวงคืนอนาคตของเรา ร่วมทวงคืนอนาคตประเทศไทย

“อนาคตใหม่” เพื่อประเทศไทยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เพื่อประเทศไทยที่มีอนาคต


You must be logged in to post a comment Login