วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

เรื่องปลา..ปลา.. / โดย รศ.นพ.ประเสริฐ อัสสันตชัย

On March 16, 2018

คอลัมน์ : พบหมอศิริราช

ผู้เขียน :  รศ.นพ.ประเสริฐ อัสสันตชัย

(โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 656 วันที่ 16-23 มีนาคม 2561)

“ปลา” แหล่งโปรตีนย่อยง่าย คุณภาพดี ไขมันต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1, บี 2, บี 6 และวิตามินดี เหมาะกับผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคไต และผู้ป่วยโรคหัวใจ แถมหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญอร่อยอีกด้วย

ประเภทของปลา

1.ปลาที่ไม่มีไขมัน หรือมีไขมันน้อย เนื้อปลามีสีขาว เช่น ปลาเนื้ออ่อน ปลาสำลี ปลาจะละเม็ด ปลากะพง

2.ปลาไขมันปานกลาง เช่น ปลาตะเพียน ปลาดุก ปลาอินทรี

3.ปลาไขมันสูง ส่วนมากมีเนื้อสีเหลือง ชมพู หรือเทาอ่อน เช่น ปลาสวาย ปลาเทโพทะเล

เคล็ดลับการเลือกซื้อ – ทำความสะอาด

สังเกตดู ตาปลาต้องใส เนื้อแน่น เมื่อกดดูไม่บุ๋มตามรอยนิ้วมือ เหงือกสีแดงสด ส่วนขั้นตอนทำความสะอาด ต้องขอดเกล็ดออกให้หมด ถ้าไม่มีเกล็ดต้องขูดเมือกเหงือกและควักไส้ออก จากนั้นล้างให้สะอาด

ปลา…แหล่งแร่ธาตุไอโอดีน

เมื่อรับประทานปลาทะเล ร่างกายจะได้รับแร่ธาตุไอโอดีน ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคคอพอกชนิดที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน เด็กที่กำลังเจริญเติบโตหากขาดแร่ธาตุชนิดนี้ โอกาสที่จะเป็น “โรคเอ๋อ” ก็มีมากขึ้น และทำให้เจริญเติบโตช้า

ปลา…แหล่งแร่ธาตุแคลเซียม

ปลาตัวเล็กๆที่รับประทานได้ทั้งตัว เช่น ปลาข้าวสาร ปลาฉิ้งฉั้ง ปลากระป๋อง จะเพิ่มธาตุแคลเซียมที่ได้จากกระดูกปลา ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย

ไขมันจากปลา

เป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัว มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยในกระบวนการเผาผลาญให้เกิดเป็นพลังงาน และยังไม่ก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

น้ำมันตับปลากับน้ำมันปลาต่างกันอย่างไร

-น้ำมันตับปลา สกัดจากตับของปลาทะเล นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปรกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้งฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปรกติ

-น้ำมันปลา สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล อาทิ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริง ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันปลามีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acid) หรือ PUFA 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า 3 คือ Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic acid (DHA)

ปัจจุบันวงการแพทย์ให้ความสนใจความสัมพันธ์ของน้ำมันปลากับโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ สาเหตุการเกิดโรคมาจากการที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจไหลเวียนไม่สะดวก เพราะผนังหลอดเลือดหนาและแข็งขึ้นจากการเกาะตัวของโคเลสเตอรอล การอุดตันของเกล็ดเลือดที่รวมตัวกันส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง บางรายที่อาการรุนแรงอาจเสียชีวิตได้

ดังนั้น ผู้ป่วยโรคนี้จึงมักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้รับประทานน้ำมันปลา เพราะมีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด และยังช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยลดปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดได้เป็นอย่างดี

รับประทานน้ำมันปลาอย่างไรจึงจะปลอดภัย

1.บุคคลทั่วไป ควรรับประทานน้ำมันปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งอาหารที่มีกรด alpha-linolenic acid สูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืช เต้าหู้ เป็นต้น

2.ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรรับประทานน้ำมันปลาประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน

3.ผู้ป่วยที่ต้องการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรรับประทานวันละ 2-4 กรัม

ก่อนตัดสินใจรับประทานควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย และพึงระวังว่าการรับประทานน้ำมันปลาขนาดสูงอาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง

จะปลาเล็ก ปลาน้อย ปลาตัวโต หากเรารับประทานเป็นประจำ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจหรือไขมันอุดตันก็จะน้อยกว่าคนทั่วไป ที่สำคัญยังมีผลวิจัยว่าสาร DHA มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้ เพราะสาร DHA จะเข้าไปเสริมสร้างความเจริญเติบโตของปลายประสาทที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแพงๆมารับประทาน เพราะแค่ปลาตาใสๆที่วางขายในตลาดแถวบ้าน เช่น ปลาทู ปลาตะเพียน ก็มีสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว

 


You must be logged in to post a comment Login