วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

เห็นต่างจากคนตาย?

On March 7, 2018

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ   “เห็นต่างจากคนตาย?”  โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย (โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 655 วันที่ 9-16 มีนาคม 2561)

เมื่อเร็วๆนี้ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค และศาสตราจารย์ระพี สาคริก ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ยังความโศกสลดแก่ลูกหลานและผู้ให้ความเคารพศรัทธา ผมเองก็ได้แต่ร่วมเสียใจกับการจากไปของบุคคลทั้งสอง แต่ขออนุญาตเห็นต่างจากท่าน ไม่ได้จาบจ้วงท่าน แต่เห็นต่างด้านความคิด เพื่อช่วยกันคิดเพื่อสังคมอุดมปัญญา

พล.ต.อ.สล้างเกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2480 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 อายุ 81 ปี ท่านเคยเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ ได้รับฉายาว่า “เสือใต้” คู่กับ “สิงห์เหนือ” คือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ มีบทบาทในการปราบปรามนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งผมโชคดีรอดชีวิตมาได้

กาลามสูตร

น่าใจหายที่บุคคลที่มีชื่อเสียง 2 ท่านเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะญาติมิตรลูกศิษย์และผู้ที่เคารพคงเสียใจมากเป็นพิเศษ คนเราเกิดมาจะดีไปเสียทั้งหมดหรือแย่ไปเสียทั้งหมดย่อมไม่ได้ ท่านเสียไปแล้ว ผมก็เคารพทั้ง 2 ท่าน แม้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยิ่งย่อมต้องนับถือ แต่ความคิดอ่านบางอย่างอาจต่างกัน ผมจึงขอ “มองต่างมุม” กับท่านทั้งสองในบางเรื่อง ช่วยกันคิดเพื่อสังคมอุดมปัญญา

 

การกระทำที่ท่านได้รับการกล่าวขานอย่างมากคือ การตบ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่จนโทรศัพท์หลุดออกจากมือ แต่หลายปีต่อมาท่านก็แก้ตัวว่าไปช่วยเหลือ ดร.ป๋วยให้รอดพ้นจากการทำร้ายจากกลุ่มฝ่ายขวาขณะที่ ดร.ป๋วยกำลังจะขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปต่างประเทศ

ส่วนอาจารย์ระพีอายุมากกว่า พล.ต.อ.สล้าง 15 ปี เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2465 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ขณะอายุเกือบ 96 ปี ท่านเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ท่านได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย” ท่านเคยยื่นฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานในปี พ.ศ. 2549 และรับเป็นที่ปรึกษากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พล.ต.อ.สล้างได้เขียนข้อความลาจากไว้ว่า “ร้านกาแฟชั้นบน เพื่อนๆ ลูก หลานรัก พ่ออยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ขอจากไปอย่างเกิดประโยชน์ ขอให้ทุกคนที่ทราบเรื่องช่วยกันคัดค้านรางคู่ขนาด 1.000 ม. รถไฟฟ้ายกระดับ ผลักดันให้สร้างถนน AUTO BAHN ช่วยกันทำหนังสือนี้เเจกกันให้มากๆ พ่อนับ 1-1,000 เเล้ว วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์ ขอโทษคนที่รักทุกคนด้วย พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อย่าตำหนิ ขอให้ภูมิใจ ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะสื่อช่วยกันปกปิด เเล้วส่งเสริม” (http://bit.ly/2oSv0V9)

อันที่จริงการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ไม่สมควร มีรายงานการวิจัยเรื่อง “พุทธศาสนากับการฆ่าตัวตาย” โดย น.ส.มธุรส มุ่งมิตร ระบุชัดว่า ในทางพุทธศาสนาถือว่าการกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตายเป็นบาป เป็นการผิดศีลข้อที่ 1 ว่าด้วยการห้ามฆ่าสัตว์ เพราะเป็นการเบียดเบียนชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมให้ติดตัวไป (http://bit.ly/2teSHws) อย่างไรก็ตาม ก็มีกรณีที่พระอรหันต์ฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเช่นกัน โดยมีบทความเรื่อง “ย้อนรอย ‘การฆ่าตัวตายของภิกษุในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้า ‘ไม่ตำหนิ’ (เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว)” (http://bit.ly/2tkdmPy) แต่กรณี พล.ต.อ.สล้างที่ตกลงไปในร้านกาแฟชั้นล่าง หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยก็คงจะน่าเศร้าใจมาก

อย่างไรก็ตาม ข้อที่เห็นต่างจาก พล.ต.อ.สล้างก็คือ การสร้างรถไฟฟ้ายกระดับในเมือง เดิมทีสมัยที่ไทยจะสร้างรถไฟฟ้าลาวาลินใต้ดินก็มีเสียงคัดค้าน เกรงว่าแผ่นดินไทยที่อ่อนนุ่มเพราะอยู่ในพื้นที่ทับถมใหม่ชายทะเลจะไม่สามารถสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินได้ แต่นั่นเป็นข้ออ้างเพียงเพื่อพยายามทำลายรถไฟฟ้านี้ (http://bit.ly/1PsIdNe) เมื่อ รสช. ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็สั่งยกเลิกโครงการนี้ (http://bit.ly/2FZIYgc) แล้วรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ “ลอยฟ้า” ก็สร้างขึ้นแทน การมีรถไฟลอยฟ้าในแง่หนึ่งดูเป็นทรรศนะอุจาด (Eyesore) แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ในฐานะที่ผมเป็นผู้รู้เรื่องการพัฒนาเมือง ผมเห็นว่าเราจะสร้างแบบใต้ดินหรือลอยฟ้าก็ได้ สำคัญที่ในใจกลางเมืองต้องสร้างให้มากเพื่อประโยชน์ในการเดินทางของประชาชน

ส่วนกรณีอาจารย์ระพีนั้นผมเคยเห็นต่างจากท่านในมติชน (9 มิถุนายน 2559 bit.ly/21egXo5) ที่ท่านว่า ประชาธิปไตย-ผันเงินลงชุมชน ส่งผลอุปนิสัยเกษตรชนบทเสื่อมโทรมลง ในวันที่ 11 มิถุนายน 2559 ผมจึงได้แปะลงใน Facebook วิพากษ์เพื่อสังคมอุดมปัญญา (http://bit.ly/2oSimWf) ว่า

1.(ท่าน) ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงในชนบท ยังฝันเฟื่องถึงการดำนา-เกี่ยวข้าวในอดีต ในยุคสมัยปัจจุบันชาวนาใช้เครื่องจักรที่เหมาะสมกันหมดแล้ว แม้แต่ชาวนาในเวียดนาม คู่แข่งของเราก็ใช้เครื่องจักรทั้งดำนา เกี่ยวข้าว ฯลฯ ผลิตภาพจึงดีขึ้น ในมุมที่เลวร้ายของความฝันเฟื่องของอาจารย์ระพีก็คือ การหวังให้ชาวนาลำบากยากเย็น “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ไปชั่วนาตาปี ไม่ยินดีที่ชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก สบายตัวจากการทำนาขึ้นมาบ้าง

2.(ท่าน) ไม่เข้าใจชีวิตชาวชนบทจริง กลับเข้าใจอย่างคับแคบว่าประชาชน “มีวัฒนธรรมที่สื่อถึงกันในท้องถิ่นด้วยการคุยกันเองอย่างใกล้ชิดในขณะที่กำลัง (ลงแขก) ดำนาและเกี่ยวข้าว” ในความเป็นจริงพวกเขาคุยกันได้ทุกวัน ชุมนุมกันในวันพระ งานวัด งานบุญ หรือแม้กระทั่งในวงเหล้าได้ออกบ่อย การลงแขกในสมัยโบราณไม่ใช้เงินก็จริง แต่ก็เสียในรูปแบบอื่น เช่น การให้ข้าว ให้แรง ให้ “เหล้ายาปลาปิ้ง” ตอบแทน (ท่าน) คงลืมไปแล้วว่า “ของฟรีไม่มีในโลก”

3.(ท่าน) หลงคิดไปว่าการ “ลงแขก” แค่นี้จะทำให้ประชาชนรู้รักสามัคคี ในสังคมที่ประชาชนคนเล็กคนน้อยถูกเอาเปรียบจะเกิดความสามัคคีได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งการแตกความสามัคคีในปัจจุบันก็เกิดขึ้นเพราะยาบ้า ซึ่งรัฐบาลในสมัยหนึ่งสามารถปราบปรามได้อย่างเด็ดขาด จนสร้างความรักความสามัคคีแก่คนในชาติ แต่ในปัจจุบันกลับไม่สามารถปราบยาบ้าได้

4.(ท่าน) ยังเข้าใจผิดในเรื่องเงินผัน นึกว่าเป็นการโยนเงินฟรีไปสู่ชนบท ในความเป็นจริงแล้วประชาชนคนเล็กคนน้อยอันไพศาลในชนบทเสียภาษีมากกว่าคนกรุงมากมาย โดยเสียผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม จริงๆแล้วภาษีควรถูกเก็บและใช้ในท้องถิ่นมากกว่านี้ แต่เรารวมศูนย์สู่ส่วนกลาง จึงทำให้ท้องถิ่นถูกส่วนกลางครอบงำ เวลาส่ง “เงินผัน” กลับสู่ชนบท กลับกลายเป็นการให้ฟรีแก่คนชนบททั้งที่เป็นสิทธิของพวกเขาในการได้เงินพัฒนาชนบทต่างหาก

5.(ท่าน) กล่าวว่า “นับตั้งแต่เมืองไทยอยากเป็นประชาธิปไตยจนถึงขั้นผันเงินไปสู่การเกษตรในชนบท นับว่ามีผลทำให้อุปนิสัยของเกษตรกรไทยในชนบทเสื่อมโทรมลงไปอย่างแก้ไขได้ยาก” (ท่าน) กล่าวร้ายต่อระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่รัฐบาลประชาธิปไตยควรดำเนินการช่วยเหลือชาวชนบทให้ลืมตาอ้าปากได้ด้วยการส่งเงินกลับคืนไปสู่พวกเขาในรูปแบบต่างๆ โดยเริ่มตั้งแต่เงินผันสมัยคึกฤทธิ์ (ปี 2518) จนถึงยุคทักษิณที่ตั้งกองทุนหมู่บ้าน รัฐบาลที่ดีไม่ใช่แค่อ้างคำเดียวว่าไม่มีเงินแล้วก็จบ กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไป แต่เงินงบประมาณกลับนำไปบำรุงกรุงเทพมหานครหรือซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชาติ เป็นต้น

ผมเองไม่เคยมีบุญได้พบเห็นบุคคลทั้ง 2 ท่านนี้ แต่ที่ “มองต่างมุม” ก็เพื่อให้เกิดการฉุกคิดบ้างเท่านั้น อย่าลืม “เกสปุตตสูตร” (กาลามสูตร) 10 ข้อ (http://bit.ly/2dFUuzK) โดยมีข้อหนึ่งว่า มา สมโณ โน ครูติ – อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

 


You must be logged in to post a comment Login