วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

แอบหวั่นไหว

On February 13, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

อาการหัวร้อนของ “บิ๊กตู่” ต่อการเคลื่อนไหวของสองอดีตนายกฯตระกูลชินวัตร “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่เรียกร้องชาติต่างๆเคารพกฎหมายไทย เคารพหลักการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน สะท้อนได้ถึงความกังวลใจที่เกรงว่าการเคลื่อนไหวของสองพี่น้องอดีตนายกฯจะไปเติมความสดชื่น ปลุกความฮึกเหิมให้กับกลุ่มสนับสนุนในเมืองไทยให้กล้าท้าทายอำนาจมากขึ้น ดังประโยคที่ว่า “มี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ”

“ขณะนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งความจริงแล้วสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมาย และต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปรองดอง แต่ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

หากใครทำผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่า ขยับทีเป็นข่าวไปหมด เดือดร้อนคนทั้งประเทศ

การจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงหลักฐาน ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม บางคนกระบวนการคนกระบวนการครบแล้ว ลงโทษไปแล้วยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ จะทำอย่างไร ซึ่งหลายประเทศเขามองในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว มองอื่น เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ แต่ผมคิดว่าประเทศไทยก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้น ใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายของแต่ละประเทศมาทำผิดในประเทศไทย ผมก็ดำเนินคดี จับกุมอยู่จำนวนมากพอสมควร แล้วส่งตัวตามกฎหมายกลับไปลงโทษที่ประเทศต้นทาง เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องเคารพในสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าให้มีการเคลื่อนไหวของคนที่ทำผิดกฎหมายของแต่ละประเทศที่เราเคารพกฎหมายคนอื่น ดังนั้น คนอื่นต้องเคารพกฎหมายเราด้วยเช่นกัน นั่นคือความเป็นศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ของประเทศไทย”

ไฮไลต์บางช่วงบางตอนในคำกล่าวของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระหว่างเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล และกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ วาระแห่งชาติ : สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ที่น่าสนใจคือเป็นการพูดในเวทีที่มีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ เข้าร่วม

แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อของสองพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีที่ปรากฏภาพเดินช็อปปิ้งอยูที่ประเทศจีน อย่าง ดร.ทักษิณกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ก็คงจะให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้

ถอดความได้ว่ามีทั้งความอึดอัด น้อยใจ ไม่พอใจผสมปนเปกันไปที่ต่างชาติไม่ให้ความร่วมมือจำกัดกรอบการเคลื่อนไหว การเดินทางของสองพี่น้องคู่นี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่มีภาพความสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลทหารคสช.ตั้งแต่ยึดอำนาจเข้ามาปกครองประเทศที่ร่วมกันทำการค้าการลงทุนรวมมูลค่ามหาศาลไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้ออาวุธ และโครงการรถไฟความเร็วสูง

อย่างไรก็ตามประโยคที่ว่าหลายประเทศเขามองในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว มองอื่นๆ เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ

ยังนึกไม่ออกว่าสองพี่น้องตระกูลชินวัตร ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกับประเทศที่ไปพำนัก หรือประเทศที่เดินทางไปเยือนอย่างไร

ต่างจากการตอบแทนทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลทหาคสช.มีให้ซึ่งมองเห็นเป็นตัวเงินชัดเจนกว่าจากการสั่งซื้ออาวุธ

การให้สองอดีตนายกฯเดินทางเข้าประเทศ หรือให้ที่พำนัก หรือมอบหนังสือเดินทางให้จึงน่าจะมีอะไรมากกว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างที่ “บิ๊กตู่” เอ่ยออกมา

อย่างที่หลายคนชี้ประเด็นให้เห็น เช่น สองอดีตนายกฯอยู่ในประเทศนั้นๆได้ก็เพราะประเทศนั้นๆเต็มใจให้อยู่ สองอดีตนายกฯเดินทางเข้าประเทศต่างๆได้ก็เพราะว่าประเทศต่างๆเหล่านั้นยอมให้เดินทางเข้าประเทศ

ส่วนคำถามที่ว่าทั้งประเทศที่ให้ที่อยู่ ประเทศที่ให้เข้าไปเที่ยวไม่รู้หรือว่าสองอดีตนายกฯมีคดีความติดตัวและศาลไทยได้ตัดสินความผิดไปแล้ว

คำตอบคือไม่มีประเทศไหนไม่รู้

ให้ที่อยู่ ให้เดินทางเข้าประเทศทั้งที่รู้ ทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าประเทศเหล่านั้นไม่ยอมรับในกระบวนการทางกฎหมายของไทย

ถ้าจะถามว่าทำไมไม่ยอมรับ ก็ต้องไปหาคำตอบเอาเอง ซึ่งหลายคนก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

หากผู้มีอำนาจยังไม่รู้คำตอบ หรือรู้แล้วแต่ไม่ยอมรับ ก็ต้องหงุดหงิดและหัวร้อนทุกคนครั้งที่ปรากฏภาพ-ข่าว การเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะมีความกังวลว่าการเคลื่อนไหวของสองพี่น้องอดีตนายกฯจะไปเติมความสดชื่น ปลุกความฮึกเหิมให้กับกลุ่มสนับสนุนที่อยู่ในเมืองไทยให้กล้าเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจมากขึ้นนั่นเอง ดังประโยคที่ว่า “มี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ”


You must be logged in to post a comment Login