วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

สายเกินเพล

On November 21, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

เสียงร้องขอให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์การปรับคณะรัฐมนตรีนอกเหนือจากไม่ต้องการให้เกิดความสับสนแล้วอีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากไม่ต้องการให้กระทบความเชื่อมั่นเพราะถ้าฟังจากน้ำเสียงของผู้ที่ออกความคิดเห็นว่าไม่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลหรือฝ่ายที่ถูกชี้หน้าเป็นฝั่งตรงข้ามดูเหมือนว่าจะไม่มีความคาดหวังอะไรกับการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เพราะเห็นว่าเลยไทม์มิ่งที่รัฐบาลจะทำอะไรได้แล้วโดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปเมื่อไม่รีบตีเหล็กเมื่อร้อนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมากว่า 3 ปี จนสูญเสียการสนับสนุนจากมวลชน

แม้กระบอกเสียงรัฐบาลจะขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายเพลาๆวิพากษ์วิจารณ์การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อป้องกันความสับสนในหมู่ประชาชน แต่บิ๊กสตอรี่อย่างนี้ย่อมอยู่ในความสนใจของคนทั่วไป

เท่าที่ติดตามการให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับ ครม.ของผู้คนหลากหลายวงการสามารแยกความคิดเห็นออกไปเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน คือ ฝ่ายที่คาดหวังกับการปรับครม.ว่าปรับแล้วน่าจะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่อีกฝ่ายไม่คาดหวังกับการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้โดยมองว่าจะไม่สามารถยกระดับการทำงานของรัฐบาลให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาได้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเอง

นายสุริยะใส กตะศิลา เซเลปเบอร์ต้นๆของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลทหารคสช. ที่มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงรองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) แนะนำ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ว่า การปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีอย่างเดียวไม่เพียงพอรัฐบาลต้องปรับวิธีการทำงานด้วย

“รัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญของปัญหาให้ชัดเจนและมองปัญหาให้ถูกต้อง ถ้ามองปัญหาผิดแม้จะมีความตั้งใจดีทุ่มเทก็แก้ปัญหาผิดทำให้สียเวลาเสียของรัฐบาลต้องมองหามิตรหาแนวร่วมด้านกว้างในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติมากขึ้น  ไม่ใช่คาดหวังระบบราชการอย่างเดียว โดยเฉพาะพลังปฏิรูปในหมู่ประชาชนที่เป็นกระแสสูงในช่วงที่ผ่านมาดูซบเซาหายไปมาก เพราะด้านหนึ่งถูกรัฐบาลกันออกจากเวที และมองเป็นคนอื่นไปก็มี ครม.ประยุทธ์ 5 จะเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนรัฐบาลชุดนี้ก่อนพ้นวาระ และจะเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า 4 ปี คสช.เสียของหรือไม่”

ฟังจากน้ำเสียงแม้จะยังให้การสนับสนุนแต่ก็แฝงไปด้วยความผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาและไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมายกับการทำงานจากนี้ไปหลังการปรับครม. แถมยังแสดงออกถึงการท้อใจจากการตัดพ้อที่รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มบุคคลที่ปูทางให้รัฐบาลทหาคสช.เข้ามาสู่อำนาจมากเท่าที่ควร แถมไม่รีบตีเหล็กเมื่อร้อนรีบทำงานปฏิรูปตามแนวทางที่ต้องการจนกระแสสนับสนุนการปฏิรูปเพิ่มซาลงไปในหมู่ประชาชน

ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ชี้ว่าปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลแต่อยู่ที่ระบบตราบใดที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยก็จะไม่ได้รับการยอมรับทำให้เกิดข้อจำกัดในการค้าการลงทุนและการเจรจากับต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาของประเทศ มีแต่วิสัยทัศน์เรื่องจะทำอย่างไรจึงอยู่ในอำนาจได้นานที่สุด การต้องคอยตอบแทนกลุ่มคนที่ปูทางให้เข้าสู่อำนาจทำให้ไม่มีที่เหลือให้คนเก่งคนดีจากภายนอกเข้ามาทำงาน การผูกขาดอำนาจในการตัดสินใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าร่วมงาน

“เราจึงไม่อาจคาดหวังอะไรได้จากการปรับ ครม. และแนวโน้มรัฐบาลนี้ ก็จะยังแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ซึ่งจะทำให้ 1 – 2 ปีนี้ ปัญหาต่างๆ หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ”

ฟังจากน้ำเสียงยิ่งแสดงให้เห็นความไม่คาดหวังว่าบ้านเมืองจะดีขึ้นหลังการปรับครม.

เมื่อย้อนไปดูความเห็นของนายสุริยะจะเห็นว่าหากคิดจะฝากผีฝากไข้กับรัฐบาลคงเป็นไปได้ยาก เพราะว่าเลยไทม์มิ่งที่รัฐบาลจะทำอะไรได้แล้วโดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปเมื่อไม่รีบตีเหล็กเมื่อร้อน

เข้าตำรา “สายเกินเพล” อยากจะฉันก็ฉันไม่ได้


You must be logged in to post a comment Login