- อย่าเอายศไปทำความอัปยศPosted 15 hours ago
- แนะพระอย่าลืม 4 รักPosted 2 days ago
- ยิ้มไว้ไม่ทุกข์สนุกดีPosted 3 days ago
- กวาดล้างพวกขี้เหล้า-เมายาPosted 5 days ago
- ฟังกันบ้างPosted 1 week ago
- เป้าหมาย “สงกรานต์”Posted 1 week ago
- ตำรวจน้ำดียังมีPosted 1 week ago
- อุทาหรณ์ลูกเนรคุณPosted 2 weeks ago
- อย่าลืมเรื่องศีลธรรมPosted 2 weeks ago
- ผีซ้ำกรรมซัดPosted 2 weeks ago
พาราเซตามอล / โดย ผศ.พญ.วีรวดี จันทรนิภาพงศ์
คอลัมน์ : พบหมอศิริราช
ผู้เขียน : ผศ.พญ.วีรวดี จันทรนิภาพงศ์
เมื่อมีอาการไข้หรือปวดจากสาเหตุใดก็ตาม ยาขนานแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงคือ พาราเซตามอล
พาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน เป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย และมักจะมีติดไว้ประจำบ้าน เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี มีหลายรูปแบบ ในรูปแบบรับประทานมีทั้งยาเม็ดและยาน้ำ ที่นิยมรับประทานคือ ยาเม็ดที่มีตัวยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด
โดยทั่วไปในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ถ้ากรณีที่น้ำหนักเกิน 67 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 2 เม็ด การรับประทานยามื้อถัดไปควรเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง และต้องไม่ใช้ยาเกิน 4,000 มิลลิกรัม หรือ 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน หากจำเป็นต้องใช้นานกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์
การได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด ส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากการรับประทานอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อยกว่าการตั้งใจกินยาขนาดสูงเพียงครั้งเดียว ซึ่งการได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาดจะส่งพิษต่อตับ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องบริเวณด้านขวาบน มีตับโต กดเจ็บ ถ้าตรวจเลือดอาจพบค่าที่บ่งว่าการทำงานของตับผิดปรกติ
ถ้าตับถูกทำลายมากขึ้นอาจพบอาการตับวายเฉียบพลัน ได้แก่ ตัวเหลือง ตาเหลือง สับสน ซึม ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้ และที่สำคัญ ไม่ควรดื่มสุรา หรือรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาต้านวัณโรค ยากันชัก ร่วมกับยาพาราเซตามอล เพราะอาจทำให้พิษต่อตับของยาพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น
หากพบเห็นผู้ที่รับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเฉียบพลันไม่แนะนำให้ทำให้อาเจียน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการสำลักเข้าปอด ควรนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากพิษจากยาพาราเซตามอลเกินขนาดมีวิธีการดูแลรักษาและยาแก้พิษจำเพาะ
You must be logged in to post a comment Login