วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

หมอดู 4.0 หยั่งรู้หรือแอบรู้? / โดย ทีมข่าวการเมือง

On September 18, 2017

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

หมอดูอีทีนางส่วย ส่วย วิน หรือเอธิ โหรดังชาวเมียนมา เสียชีวิตในวัย 58 ปี เมื่อเวลา 04.20 น. วันที่ 10 กันยายน 2560 ที่บ้านพักในเขต Thingangyun ทางตะวันออกของเมืองย่างกุ้ง

“หมอดูอีที” มาจากชื่อว่า “อีติ” (E Thi) หรือ “มะขุ่ย” แต่ร่างกายพิการ ร่างเตี้ย หลังค่อม และมือเท้าหงิก พูดไม่ได้ คล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง “อีที” ของ “สตีเว่น สปีลเบิร์ก” ต้องสื่อสารผ่านการอ่านปากของ มะตีตี้ ผู้เป็นน้องสาว และทำนายด้วยการเขียนบนกระดาษ

ความแม่นยำของ “หมอดูอีที” ทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมืองหรือการทำนายดวงชะตา โดยเฉพาะตัวเลขหลายตัวบนธนบัตรของผู้ที่มาให้ดูดวงชะตาสามารถทายถูกทุกตัวเลขราวกับตาเห็น ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรประเภทใด ซึ่งบรรดาคนดังทุกสาขาอาชีพทั่วโลกต่างเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปให้ทำนายดวงชะตา โดยเฉพาะนักธุรกิจสิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน และไทย

คนไทยที่เดินทางไปให้ “หมอดูอีที” ทำนาย มีทั้งนักการเมือง นายทหาร นักธุรกิจ ดารานักแสดง หรือบรรดาไฮโซมากหน้าหลายตา ซึ่งต้องจองคิวเป็นเวลานานกว่าจะได้คิว คิดค่าดูแต่ละครั้งประมาณ 30,000 บาท หรือ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้เวลาทำนาย 15-30 นาที และนำเงินจากการดูดวงไปสร้างสาธารณประโยชน์ในเมียนมา ซึ่งคาดว่ามีรายได้จากการดูดวงถึงเดือนละกว่า 230-340 ล้านบาท

“หมอดูอีที” มีปัญหาร่างกายที่พิการ ร่างเตี้ย หลังค่อม และมือเท้าหงิก พูดไม่ได้ ความโด่งดังของ “หมอดูอีที” ทำให้ค่ายกันตนาโดย “ต๊ะ นิรัตติศัย” นำเรื่องราวชีวิตของ “เอธิ” มาทำเป็นละครซีรี่ส์เรื่อง “คนเหนือโลก” หรือ Extraordinary Gift เมื่อปี 2555 ความยาว 8 ตอน เขียนบทโดย “ซี ยโย ตุน” หลานของ “หมอดูอีที” และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2556 “หมอดูอีที” ได้เดินทางมาออกรายการทีวีที่ประเทศไทยอีกด้วย

คำทำนายทั้งถูกและผิด

คำทำนายที่ “หมอดูอีที” เคยทำนายเกี่ยวกับการเมืองไทยและนักการเมืองไทยอย่างแม่นยำ อย่างกรณีอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำนายว่าจะสูญหายจากการเมืองไทย โดยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ทำนายว่าเป็นจุดต่ำสุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และจะเกิดความขัดแย้งและต่อสู้กันเองภายในประเทศตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงตุลาคม ซึ่งจะทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย หลังจากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และสถานการณ์จะเริ่มคงที่ช่วงปี 2557 ที่ตลอดทั้งปีจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง และช่วงปี 2558 จะเป็นปีแห่งความหวังใหม่ของประเทศไทย

ปี 2559 ประเทศไทยจะเป็นดั่งฟ้าสีทองผ่องอำไพ ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน ไม่ใช่กองทัพ ทั้งยังทำนายว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมดวาระ

ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีเคยสัมภาษณ์น้องสาว “หมอดูอีที” ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำทำนาย โดยเปิดเผยว่า อดีตนายกฯทักษิณก่อนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปให้ทำนาย และก่อนเกิดรัฐประหารปี 2549 อดีตนายกฯทักษิณก็เดินทางไปพบอีกครั้ง แต่น้องสาว “หมอดูอีที” ไม่ขอเปิดเผยว่าทำนายอย่างไร บอกแต่เพียงว่าคำทำนายของช่วงนั้นถูกต้อง 80%

เช่นเดียวกับการทำนาย “พระธัมมชโย” ว่าเป็นผู้มีบุญและบารมีมากๆ โดย “หมอดูอีที” เขียนประโยคสั้นๆหลายประโยคว่า “…Monk very peace powerful buddhis in world” โดยน้องสาวได้อธิบายว่า เป็นพระที่ดีมาก ทำเพื่อส่วนรวม เป็นพระที่มีความบริสุทธิ์ สนใจแต่บุญอย่างเดียว ไม่สนใจอำนาจทางโลก พระรูปนี้จะช่วยคนเป็นจำนวนมากและสร้างคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวมเป็นจำนวนมาก พระรูปนี้จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก จะสามารถเผยแผ่ธรรมะและขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยจะมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นปิ่นนานาประเทศ จะเป็นประเทศต้นแบบด้านศีลธรรมที่ต่างประเทศจะนำไปเป็นแบบอย่าง พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมากๆในประเทศไทย และจะมีการร่วมมือกันระหว่างคณะสงฆ์ไทยกับคณะสงฆ์พม่าอีกด้วย

คำทำนายของ “หมอดูอีที” อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่หลายคนที่เคยให้ทำนายยังศรัทธา เพราะรู้ดีว่าไม่มีคำทำนายของหมอดูหรือโหรคนใดที่จะถูกต้อง 100% อย่างการทำนายว่านายอภิสิทธิ์จะได้เป็นนายกฯอีกครั้งในปี 2559 ซึ่ง คสช. เคยประกาศว่าจะให้มีการเลือกตั้งในปี 2559 ตามโรดแม็พ แต่ก็ไม่มีการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรียังคงเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชาชนก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการเหมือนเดิม

คำทำนายก่อนตาย

เว็บไซต์เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ระบุว่า “หมอดูอีที” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาซึ่งไม่สามารถอธิบายได้หลายครั้ง ตั้งแต่การย้ายเมืองหลวงจากนครย่างกุ้งไปกรุงเนปิดอว์ในปี 2548 รวมถึงนายพลตาน ฉ่วย อดีตประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐของพม่าระหว่างปี 2535-2554 นุ่งลองยีหรือโสร่งแบบผู้หญิง ซึ่งหลายฝ่ายกล่าวว่าเป็นคำแนะนำของ “หมอดูอีที” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงซึ่งหมายถึงนางออง ซาน ซูจี มีอำนาจและขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

ส่วนการทำนายถึงสถานการณ์ในประเทศไทย “หมอดูอีที” ทำนายช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งสื่อได้พาดข่าวว่านักการเมืองระดับบิ๊กบินไปดูดวงเพื่อขอคำแนะนำการแก้เคล็ดและเสริมดวงชะตา ต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่าคืออดีตนายกฯทักษิณ โดย “หมอดูอีที” ทำนายว่าดวงชะตาขาด ต้องทำพิธีต่อดวงชะตาโดยสวดมนต์และเดินวนรอบเจดีย์ชเวดากองซ้าย 3 รอบ ขวา 3 รอบ แล้วทำพิธีสะเดาะเคราะห์ชุดใหญ่ในถิ่นทุรกันดารโดยค่ำไหนนอนนั่น แต่สุดท้ายก็เกิดรัฐประหาร

ในปี 2555 “หมอดูอีที” ยังทำนายดวงเมืองประเทศไทยว่าจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดช่วงประมาณปี 2556 แต่ไม่ระบุเจาะจงว่าเกิดที่ไหนหรือเวลาใด ซึ่งช่วงเย็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ประเทศไทยก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.3 ในพื้นที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ

ที่น่าสนใจคือก่อนเสียชีวิตนั้น “หมอดูอีที” ทำนายว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่และเกิดสงครามโลก โดยเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมใหญ่และให้ทุกคนอยู่ที่สูงๆไว้ ส่วนสงครามโลกไม่มีรายละเอียด นอกจากให้เก็บข้าวสารอาหารแห้งไว้มากๆ

โหราศาสตร์กับการเมืองไทย

เรื่องของหมอดูหรือโหราศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีทั้งถูกและผิด แต่เรื่องของโหรหรือโหราศาสตร์ก็ผูกพันและมีอิทธิพลกับสังคมไทยมานานนับร้อยๆปี จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะมีโหรที่มีชื่อเสียงออกมาทำนายเหตุการณ์ต่างๆช่วงปีใหม่ทุกปี หรือทำนายถึงผู้มีอำนาจในแง่มุมต่างๆ ซึ่ง ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เคยเขียนบทความ “โหราศาสตร์กับการเมืองไทย” (21 มกราคม 2550) ไว้ตอนหนึ่งว่า

“…การเมืองไทยเป็นกิจกรรมที่ปราศจากความแน่นอน เมื่อพยายามหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่ก็ยังมืดแปดด้านอยู่แล้ว ก็เลยต้องไปถามหมอดู หลัง พ.ศ. 2475 มีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้ง ผู้นำทหารหลายคนต้องมีโหรประจำตัว นอกจากจะคอยตรวจดวงชะตาของตนเองแล้ว ยังคอยดูดวงชะตาของผู้ที่ต้องการจะโค่นล้มด้วย ผู้นำหลายคนจึงปกปิดดวงชะตาของตนเพื่อให้หมอดูทายผิด

ดวงชะตาที่โหรใช้เป็นหลักในการตรวจดูเหตุการณ์ทางการเมืองคือดวงเมือง ซึ่งกำหนดโดยโหราจารย์สมัยรัชกาลที่ 1 โหราจารย์ได้วางตำแหน่งดาวอังคารซึ่งหมายถึงทหารไว้ที่จุดแข็งของดวงเมือง จึงกล่าวกันว่า ทหารถึงมีความเข้มแข็ง ดวงเมืองของประเทศไทยนับว่าดีมาก บ้านเมืองเราศัตรูทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่จะวุ่นวายก็เพราะพวกเราทำกันเองมากกว่า…”

รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก “โหราศาสตร์กับการตัดสินใจในทางการเมืองของไทย” เมื่อปี 2534 บอกว่า โหราศาสตร์อยู่คู่กับสังคมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเรื่องของขวัญกำลังใจ แต่ไม่ใช่คำตอบของการตัดสินใจอย่าง 100% ซึ่งในทางการเมืองผู้มีอำนาจอาจใช้นักวิชาการ นักวิเคราะห์ หรือโหรในการตัดสินใจ แต่ก็ยังต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง คำทำนายบางประการนำไปสู่การกำหนดทิศทางความคิดของสังคม คือเป็นเครื่องมือกำหนดกระแสสังคมในบางวาระ

อิทธิพลของหมอดูบางครั้งอาจจะโยนหินถามทาง หรือชี้นำวิธีคิดของคน สร้างความตึงเครียด เพราะเป็น super natural เหนือกว่าหลักฟิสิกส์ที่คุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้นสำนักโหรบางสำนักกลายเป็นที่รับและเก็บข้อมูล เพราะแต่ละคนที่เข้าไปหาก็ต้องบอกเรื่องราวของตัวเอง เวลาคนไปดูหมอก็เพราะมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นคนมีชื่อเสียงไปดู หมอดูก็สามารถประเมินจากคำถาม กลายเป็นการเก็บข้อมูล มีข้อมูลจากทุกฝ่าย ฉะนั้นเราจึงต้องดูว่าแต่ละสำนักกำลังทำอะไร อย่าไปมองว่าไร้สาระ

อาจารย์ชลิดาภรณ์ยังบอกว่า ชนชั้นนำจำนวนไม่น้อยศึกษาโหราศาสตร์เพื่อทำนายเอง เพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ “คนนอกกลุ่ม” และแม้ว่าจะมีการกำหนดฤกษ์จากความรู้ทางโหราศาสตร์แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าการปฏิบัติการทางการเมืองจะสามารถเป็นไปตามฤกษ์ที่วางไว้เสมอไป โดยเฉพาะการยึดอำนาจรัฐประหารซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายส่วนและคนหลายฝ่าย หมอดูให้ฤกษ์มาก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ตามฤกษ์เสมอไป คนไทยจึงมีคำว่าฤกษ์ดีคือฤกษ์สะดวก

อาจารย์ชลิดาภรณ์กล่าวว่า เวลาผู้มีอำนาจทางการเมืองต้องการหาคำตอบจากคำทำนาย ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าการหาคำตอบเพื่อความอยู่รอดนั้นหมายถึงความอยู่รอดของตนเองหรือความอยู่รอดของสาธารณะ ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่า คนครองอำนาจจะนึกถึงตัวเองก่อน ดังนั้น ผู้นำที่ใช้ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์จะถูกตีความอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประชาชนคิดอย่างไรกับผู้นำคนนั้น สะท้อนภาพของตัวประชาชนเองด้วย

“โหรวารินทร์” ขวัญใจทหาร

เรื่องของหมอดูหรือโหราศาสตร์กับเรื่องของบ้านเมืองแยกกันแทบไม่ออก เพราะสังคมไทยจำนวนมากยังเชื่อเรื่องฤกษ์ และหลายกรณีมีอิทธิพลกับการเมืองการปกครอง จึงไม่แปลกที่แต่ละยุคจะมีโหรที่ผู้มีอำนาจให้ความเชื่อถือและนำคำทำนายมาช่วยในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในภาวะที่การเมืองไม่มั่นคง ไร้เอกภาพ โหราศาสตร์ก็จะยิ่งมีอิทธิพล

อย่างในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และ พ.อ.ประจวบ วัชรปาณ เป็นโหรประจำตัวที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น ซึ่งระบุว่า “โหร” ประจำตัวจอมพลสฤษดิ์ให้เลขผานาทีแต่ละครั้งในการทำปฏิวัติ

ขณะที่ยุคปัจจุบันคงไม่มีใครดังเท่ากับ “โหรวารินทร์” หรือนายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายา “โหร คมช.” โดยอ้างว่าทำนายจากนิมิตของหลวงปู่เกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีนายทหารมากมายให้ความนับถือและเชื่อว่าคำทำนายเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ปี 2549 และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2557

โดยก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมภริยา ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสุขิโตถึง 2 ครั้ง และวันที่ 7 มิถุนายน 2550 พล.อ.สนธิ ในฐานะประธาน คมช. พร้อม พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. รองประธาน คมช. และ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมและเลขาธิการ คมช. ได้เดินทางไปพบโหรวารินทร์เพื่อให้แก้ดวงเมือง ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย

อดีตนายกฯทักษิณก็เคยไปพบโหรวารินทร์ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้พาไปคือ พล.ต.อ.จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์ กับ พล.ต.ยุทธพงษ์ พวงทอง ซึ่งโหรวารินทร์เคยทำนายว่าอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะหมดอนาคตทางการเมือง และอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะหนีไปต่างประเทศตามรอยอดีตนายกฯทักษิณ เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้กรรม และกรรมคือไม่มีแผ่นดินอยู่ ขณะที่ประเทศไทยจะมีการบริหารภายใต้รัฐราชการ และปี 2559 จะไม่มีการเลือกตั้งอย่างเเน่นอน

โหรวารินทร์ยังทำนายช่วงก่อนรัฐประหารปี 2549 ว่านายกฯคนใหม่จะชื่อ “ส.” ซึ่งขณะนั้นผู้บัญชาการทหารบกคือ พล.อ.สนธิ และหลังรัฐประหารนายกรัฐมนตรีคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นอกจากนี้ยังทำนายว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะส่งไม้ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และทำนายช่วงการเมืองวุ่นวายสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าจะมี “อัศวินม้าขาว” เป็นทหารเข้ามาเป็นคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ ทั้งช่วงต้นปี 2557 ก่อนรัฐประหารได้ทำนายว่านายกรัฐมนตรีจะชื่อ “ป.” แน่นอน แต่ไม่บอกว่าเป็นใคร ซึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

อย่างไรก็ตาม โหรวารินทร์ก็มีการทำนายผิดหลายครั้งเช่นกัน แต่ที่หน้าแตกที่สุดคือปี 2553 ทำนายว่าสึนามิจะกลับมาอีกครั้งหลังวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2551 ทำนายว่าปัญหาของประเทศจะคลี่คลายในปี 2552 จะมี “รัฐบาลแห่งชาติ” และมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่อดีตนายกรัฐมนตรีหรือทหาร แต่จะเป็นพลเรือนที่ “เกษียณอายุราชการ”

วันที่ 4 เมษายน 2551 ทำนายว่านายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากยังมีวิบากกรรม และปี 2554 ทำนายว่านายกฯต่อจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีอักษรย่อ “ป.” แต่ยังไม่ถึงเวลาของนายกฯหญิง ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

จากครูสู่โหรหลัง “ตายแล้วฟื้น”

ประวัติของโหรวารินทร์ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย โดยนายวารินทร์เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด เกิด พ.ศ. 2504 เคยรับราชการเป็นครูประชาบาลในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แต่ออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัวหลายอย่างซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก

หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะ “โหรขวัญใจทหาร” โหรวารินทร์ได้เปิดเผยว่ามีธุรกิจบ้านจัดสรรกลางเมืองเชียงใหม่ชื่อหมู่บ้านฮิมมา จัดสรรในนามบริษัท ฮิมมา เพรสทีจ ลีฟวิ่ง จำกัด อยู่ที่ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งโรงแรมและร้านอาหารกลางเมืองเชียงใหม่บริเวณถนนพระปกเกล้าชื่อโรงแรมซอมพอร์

โหรวารินทร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เริ่มสนใจด้านพลังจิตมาตั้งแต่ 9 ขวบ จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่ออายุ 35 ปี ที่บอกว่าเขา “ตายแล้วฟื้น” หลังจากนั้นจึงเริ่มเป็นโหรตั้งแต่ พ.ศ. 2537 แต่ไม่ได้ดูดวงและไม่ได้เป็นร่างทรง จะดูเรื่องเวรกรรมเป็นหลัก

“ข้าพเจ้ามิได้เป็นร่างทรง และไม่ได้เป็นหมอดูดังที่เข้าใจ แต่ปฏิบัติตนโดยได้ซึ่งญาณบารมีจากครูบาอาจารย์ที่ได้ร่ำเรียนมา ใช้ญาณบารมีจากจิตอธิษฐานของข้าพเจ้า”

โหรวารินทร์นับถือหลวงปู่เกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัยที่อายุกว่า 3,000 ปีเป็นอาจารย์องค์ประทับ แต่ก็มีข่าวว่าบางครั้งใช้ครุฑเป็นองค์ประทับ บางทีก็ใช้การเพ่งกระแสจิตตรวจสอบดวงชะตาโดยไม่มีการประทับร่างทรง

ความแตกต่างของโหรวารินทร์กับโหรทั่วไปคือ ไม่เปิดรับทำนายให้กับทุกคน จะเลือกเฉพาะคนที่รู้จักมักคุ้นหรือบุคคลที่ตัวเองต้องการทำนายให้เท่านั้น จึงไม่ปรากฏชัดเจนเรื่องรายได้ แต่จากการเติบโตของสำนักจากเดิมอยู่ที่บ้านพักตรงข้ามกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เยื้องศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ จนตั้งสำนักใหม่ที่มีนายทหาร ตำรวจ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากไปร่วมในพิธี ก็น่าจะมีรายได้หรือเงินสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมนับร้อยล้าน ซึ่งสำนักแห่งใหม่ใช้ชื่อ “สำนักสุขิโต” ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสุขิโต เยื้องเรือนจำพิเศษเชียงใหม่ ถนนวงแหวนตัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หน้าสำนักจะมีป้ายห้ามถ่ายรูปและมีทหารคอยดูแลความเรียบร้อย

หมอดู 4.0 หยั่งรู้หรือแอบรู้?

เรื่องของหมอดูหรือโหราศาสตร์กับการเมืองไทยเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ระยะที่ผ่านมาก็เห็นชัดเจนว่ามีโหรที่ทำนายเรื่องของบ้านเมือง ทั้งโหรที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ หรือโหรที่มีชื่อเสียงทั่วไป แม้การทำนายหลายเรื่องจะผิดและถูกวิจารณ์ว่าเหลวไหล แต่หลายเรื่องกลับเหลือเชื่อเหมือนนั่งอยู่ในใจผู้มีอำนาจ

โดยเฉพาะโหรวารินทร์ที่ถือว่าใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทั้งรัฐบาลและกองทัพ คำทำนายเกี่ยวกับบ้านเมืองเป็นการชี้นำหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรในทางการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะในยุค คสช. ที่ตอกย้ำว่าบ้านเมืองจะมีความมั่นคงและมั่งคั่งภายใต้รัฐราชการ ผู้นำประเทศยังเป็นทหารที่มีบุญบารมีซึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

เรื่องของหมอดูหรือโหรกับการเมืองไทยจะถูกมองว่าเป็นความเหลวไหลหรือสะท้อนถึงความล้าหลังทางแนวคิดการเมืองของไทยอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจปฏิเสธบทบาทของโหรหรือหมอดูในสังคมไทยได้ โดยเฉพาะในทางการเมือง แม้ “ทั่นผู้นำ” จะพยายามสร้างภาพให้ประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 ก็ยังต้องพึ่ง “หมอดูยุค 4.0” อย่างที่ “ทั่นผู้นำ” และคณะนายทหารและตำรวจเดินทางไปร่วมพิธีห่มผ้าพระเจ้าพิชิตมารที่สำนักของโหรวารินทร์

ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า อยากให้สื่อมวลชนรายงานข่าวเกี่ยวกับโหราศาสตร์อย่างมืออาชีพในเเง่ของการเก็บสถิติความแม่นยำของโหรแต่ละคนให้ชัด นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบประวัติและความเป็นมาของโหร และควรตรวจสอบด้วยว่านักการเมืองและผู้มีอำนาจคนไหนใช้โหรทำอะไรบ้างอีกด้วย

“ผมเคยคิดว่าการที่ประเทศไทยหมกมุ่นกับคำทำนายของโหรนี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระและไม่สะท้อนความเป็นสมัยใหม่ แต่วันนี้ผมขอเปลี่ยนความคิดครับ ผมคิดว่าการติดตามเรื่องการทำนายของโหรกับการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่มีคุณค่าในทางการข่าวเป็นอย่างมาก”

เรื่องของโหรกับการเมืองจึงมีอะไรมากกว่าที่เป็นข่าว เพราะโหรก็เหมือนนักวิเคราะห์ นักวิชาการ ที่มีมุมมองและมีข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการทำนาย ใครมีข้อมูลที่ลึกกว่าและมีชั้นเชิงที่แหลมคมก็จะทำนายได้อย่างแม่นยำ หรือรู้จักใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ การทำนายแต่ละครั้งก็ยิ่งมีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม

ทำให้มีคำถามว่า โหรหรือหมอดูนั้นเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตจริงหรือไม่? หรือเป็นแค่การ “แอบรู้” ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมสร้างสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นมาเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่กลุ่มผู้มีอำนาจต้องการ!??


You must be logged in to post a comment Login