วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ชีวิตอย่าง‘ชาววิไล’? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On September 7, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สัปดาห์ที่แล้วชีพจรลงเท้าให้ได้กลับไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ทริปนี้ถือว่าพิเศษจริงๆ เพราะมีโอกาสได้เชิญภรรยาสุดที่รักร่วมทางไปด้วย ผมจำได้ว่าตั้งแต่แต่งงานกันเมื่อ 14 ปีที่แล้ว เรา 2 นไม่เคยมีโอกาสไปไหนต่อไหนตามลำพังแบบนี้เลย

ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีจริงๆ เพราะปีแรกหลังจากแต่งงาน “เจ้านาย” ลูกชายคนโตของเราก็ลืมตาออกมาดูโลก ต่อจากนั้นคนอื่นๆก็ทยอยตามกันออกมา จนเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้วเราได้ “น้องเจ้าขวัญ” ลูกสาวคนล่าสุดคลอดออกมาเป็นน้องสุดท้อง ทำให้เรามีสถิติพิเศษที่คงมีไม่กี่ครอบครัว “ชนะ” ได้ เพราะเรามีลูกด้วยกันถึง 6 คน

การมีลูกหลายคนนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุให้ผมและภรรยาไม่เคยได้ไปไหนด้วยกันเป็นการส่วนตัว เพราะการมีลูกมากทำให้เราเป็นห่วงมาก ดังนั้น เวลาไปไหนมาไหนทั้งในและนอกประเทศ ภรรยาของผมจะไม่เดินทางโดยไม่มีลูกๆไปด้วยเด็ดขาด โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก ซึ่งภายใน 14 ปีที่เรามีลูกทั้งหมด 6 คนนั้น ทำให้เรามี “เจ้าตัวเล็ก” คนใหม่มาทดแทนตลอดเวลา

วันนี้ “เจ้าขวัญ” กลายเป็นนักเรียนอนุบาลตัวน้อย ส่วน “เจ้านาย” ก็เริ่มโตเป็นหนุ่ม ลูกๆของเราที่เหลือได้แก่ เจ้าหญิง เจ้าชาย จันทร์เจ้า และเจ้างาม ทุกคนสามารถดูแลกันและกันได้ อีกทั้งเรายังมีคุณปู่คุณย่ามาช่วยวิ่งไล่จับป้อนข้าวป้อนน้ำอีกแรง ดังนั้น เมื่อผู้ใหญ่ที่ผมเคารพชวนให้ไปญี่ปุ่นเพื่อหารือธุรกิจและพักผ่อน จึงเป็นครั้งแรกที่เรา 2 คนเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่มีเด็กๆเดินทางไปด้วย

ทริปนี้เราใช้บริการของ “TG” ทั้งไปและกลับ การเดินทางด้วยสายการบินแห่งชาติไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง ถือเป็นสายการบินอันดับ 1 ของผมเสมอมา การบริการยอดเยี่ยม อาหารอร่อย พนักงานทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มาตรฐานสุดยอดแบบนี้หาได้ยากมากๆในสายการบินอื่น และผมหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

เรามุ่งหน้าสู่สนามบินฟุกุโอกะซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู เที่ยวบินของเราถึงที่หมายเป็นเวลาเกือบ 8 โมงเช้า ช่วงรอรับกระเป๋าได้เจอกัปตันที่บินพาเรามาส่ง น้องกัปตันท่านนี้เคยเป็นนักบิน F-16 ฝูงบินเดียวกัน เลยมีโอกาสได้ทักทายสวัสดีกันพอหอมปากหอมคอ ผมรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวน้องๆนักบินรุ่นลูกศิษย์ทั้งหลายที่ออกมาอยู่สายการบินต่างๆ ตอนนี้กลายเป็นกัปตันกันหมดแล้ว

หลังจากพบกับคณะที่มารอต้อนรับ การเดินทางก็เริ่มขึ้น เราเดินทางโดยรถจากเมืองฟุกุโอกะมุ่งหน้าไปที่เมือง “เบปปุ” ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำพุร้อนในจังหวัดโออิตะ แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็ชอบเดินทางมาพักผ่อนแช่น้ำร้อนที่นี่ เพราะในเมืองมีบริเวณที่มีน้ำพุร้อนสำคัญถึง 8 แห่ง และมีชื่อเล่นออกจะน่ากลัวเล็กๆว่า “8 ขุมนรกแห่งเบปปุ”

ชาวญี่ปุ่นรู้จักการนำน้ำร้อนจากใต้ดินมาใช้ประโยชน์นานแล้ว โดยเฉพาะการนำน้ำเหล่านี้มาใส่ในบ่อเพื่อให้คนมาแช่ การแช่น้ำร้อน “อนเซ็ง” หรือ “ออนเซ็น” ถือเป็นสุดยอดปรารถนาอย่างหนึ่งของนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะการแช่น้ำร้อนที่มีแร่ธาตุต่างๆจากใต้พิภพจะทำให้ผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัย และถ้ามีโอกาสได้แช่เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดีและมีอายุยืนนาน ซึ่งน่าจะจริง เพราะคนท้องถิ่นชายหญิงที่เราพบเห็นมีแต่คนผิวดีผิวสวยทั้งสิ้น

การมาเบปปุของคณะเราครั้งนี้ไม่ได้มาอาบน้ำแร่ครับ แต่เป็นการมาดูการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานความร้อนจากใต้พิภพที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Geothermal Power” เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแบบนี้มีมายาวนาน โดยเริ่มทดลองครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 แต่กว่าจะมีการสร้างกันอย่างจริงจังก็ล่วงเลยมาถึงปี ค.ศ. 1958

ปัจจุบันมีปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานใต้พิภพทั่วโลกทั้งสิ้นประมาณ 12.8 GW (ตัวเลขปี 2015) ถือว่ายังไม่มากเมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าแบบอื่น โดยประเทศที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานใต้พิภพมากเป็นอันดับ 1 คือสหรัฐอเมริกา คิดเป็น 28% ของโลก หรือประมาณ 3.5 GW ส่วนญี่ปุ่นเป็นอันดับ 9 มีปริมาณการผลิตประมาณ 519 MW คิดเป็น 4% ของโลก หรือเพียงแค่ 0.1% จากปริมาณไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นผลิตได้จากวิธีอื่นๆ

สำหรับเทคโนโลยีในการผลิตที่ผมได้มาชมครั้งนี้เป็นเทคโนโลยีแบบล่าสุดที่เรียกว่า Binary cycle power stations ซึ่งต้องการน้ำร้อนหรือไอน้ำที่อุณหภูมิมากกว่าหรือเท่ากับ 57 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่สูงกว่า 57 องศาจะไปทำให้ “แอมโมเนีย” ซึ่งมีจุดเดือดต่ำกว่า 57 องศาระเหยกลายเป็นไอ และแรงดันจากไอแอมโมเนียจะถูกใช้ให้ไปหมุนเทอร์ไบน์เพื่อปั่นไฟฟ้าออกมาต่อไป

สำหรับแหล่งน้ำร้อนที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าที่เบปปุแห่งนี้ต้องบอกว่าเหลือเฟือ เพราะขุดไปตรงไหนก็เจอกับน้ำร้อน แต่ไม่ใช่ใครคิดจะทำก็ทำได้อย่างอิสระ ผู้ประกอบการจะต้องขอใบอนุญาตและการก่อสร้างกับหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย กำลังการผลิตก็ถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้สัมปทานในปริมาณที่เหมาะสม

การเยี่ยมชมครั้งนี้ผมมีโอกาสได้พบกับเจ้าของสัมปทานบ่อน้ำร้อนที่เป็นผู้ส่งน้ำร้อนให้ทุกสถานีที่ผลิตไฟฟ้าด้วย ท่านอายุ 84 ปี แต่ยังแข็งแรงเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว หน้าตาอ่อนกว่าวัยมาก เมื่อถามเคล็ดลับว่าทำยังไงถึงหนุ่มขนาดนี้ ท่านเลยชวนขึ้นไปบนบ้านเพื่อพาไปดูบ่อน้ำร้อนสีน้ำนมส่วนตัวแล้วบอกว่า “นี่แหละครับคือเคล็ดลับของผม”

ท่านได้สัมปทานบ่อน้ำร้อนนี้มากว่า 50 ปีแล้ว โดยปรกติก็จะบริการส่งน้ำร้อนไปตามบ้านเรือนและสถานบริการออนเซ็นต่างๆในละแวกเพื่อใช้ออนเซ็นเป็นหลัก แต่การส่งน้ำร้อนเพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับชุมชนเพิ่งเริ่มได้เพียง 4-5 ปีเท่านั้น ถือเป็นเรื่องใหม่ แต่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนเป็นอย่างดี

สถานีผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 125 KW มีขนาดเล็กนิดเดียว ใช้พื้นที่ไม่ถึง 100 ตารางวา และไม่มีเสียงรบกวน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงถูกติดตั้งกระจายอยู่ในชุมชนรอบๆบ่อน้ำร้อนหลายสถานี แม้จะดูว่ากำลังผลิตไม่มาก แต่ถ้าคำนวณปริมาณการผลิตจริงๆต้องบอกว่าสูสีกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1 MW ที่ผลิตไฟฟ้าได้วันละไม่กี่ชั่วโมงทีเดียว

พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานใต้พิภพนั้นถือเป็นพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาด เพราะมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับค่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน เมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญก็พบว่ารัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้ภาคเอกชนและครัวเรือนผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานสะอาดต่างๆทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมทั้งพลังงานจากใต้พิภพที่ผมได้มาดูงานในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งสอดคล้องกับภาพที่เห็น เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแผงโซลาร์เซลล์ถูกติดตั้งไว้อย่างเป็นระเบียบเต็มไปหมด ตั้งแต่บนหลังคาบ้านจนถึงพื้นที่ว่างรอบๆสถานที่ทั่วไป สลับกับสีเขียวของต้นไม้ที่คายออกซิเจนและดูดคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้น ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นจึงมักจะมีคำพูดว่าที่นี่สูดอากาศได้ “เต็มปอด” จริงๆ

ผมไม่แน่ใจว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของ คสช. จะครอบคลุมคุณภาพชีวิตของคนไทยในเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า แต่เชื่อว่าผู้มีอำนาจคงเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน ผมได้แต่หวังว่าลูกทั้ง 6 คนและหลานๆของผมที่จะเกิดมาในอนาคตคงจะมีโอกาสได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและสูดหายใจได้ “เต็มปอด” เหมือนกับประเทศที่เจริญแล้ว เพียงแค่คนไทย “ร่วมมือ” กัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และเลิกจองล้างจองผลาญกัน ผมคิดว่าเท่านี้ “ชาววิไล” ก็จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างแน่นอน


You must be logged in to post a comment Login