วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ดูละครแล้วย้อนดูตัว? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On August 10, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สัปดาห์ก่อนโน้นผมเดินทางไปรักษาเส้นเสียงที่ประเทศเกาหลีใต้ กลับมาก็อดไม่ได้ที่จะนำเรื่องราวประทับใจที่เจอะเจอมาเล่าให้ฟัง จากนั้นสัปดาห์ต่อมาผมก็มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศอีก ครั้งนี้ผมกลับไปที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม สำหรับการเดินทางทริปนี้เป็นการเดินทางร่วมคณะไปกับเพื่อนนักธุรกิจไทยที่ไปเจรจาด้านการค้าการลงทุนที่นครแห่งนี้

นครโฮจิมินห์แปลกตาไปทุกครั้งที่กลับมาเยือน ทั้งๆที่ช่วง 3 ปีนี้ผมมีโอกาสแวะเวียนมาหลายครั้ง การเจริญเติบโตของอดีตเมืองหลวงเวียดนามใต้ที่เคยถูกเรียกว่า “ไซ่ง่อน” น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะกำลังถูกเปลี่ยนแปลงจากนครที่ “วุ่นวายไม่น่าอยู่” มาเป็นเมืองที่มี “ระเบียบเรียบร้อยและเป็นสีเขียว” แม้ว่าการจราจรบนท้องถนนยังคลาคล่ำไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ แต่ความสะอาดสองข้างทางบวกกับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาและความสดชื่น ทำให้อดีตเมืองหลวงแห่งนี้มีเสน่ห์และน่าอยู่อาศัยไม่ใช่น้อย

และที่ดูสะดุดตาแตกต่างไปจากกรุงเทพมหานครของเราอีกเรื่องหนึ่งคือ การเอาสายไฟฟ้าและสายสื่อสารต่างๆลงไปอยู่ใต้ดิน แม้ในบางพื้นที่จะเห็นสายต่างๆระโยงระยางอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ถูกจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว ทำให้สภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ของเมืองดูดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

ผมเคยอ่านบทความต่างๆมากมายที่พูดถึงศักยภาพการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่รวดเร็วของเวียดนาม เมื่อมีโอกาสได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองต้องเรียนท่านผู้อ่านว่า ไม่เกินเลยกว่าที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายได้แสดงความเห็นไว้ เวียดนามถือเป็นประเทศที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือแม้แต่เรื่องการทหารก็ตาม

แม้เวียดนามจะเป็นประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศนี้ก็เดินไปได้อย่างราบรื่นมั่นคงด้วยระบอบทุนนิยม ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากมหาอำนาจ “จีน” ที่เป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคนี้แต่อย่างใด การที่รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “ประชานิยม” ต่างๆเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนยากคนจนในประเทศ กลายเป็นการบริหารอย่างชาญฉลาดที่ทำให้ GDP ของประเทศโตวันโตคืนจนถึงทุกวันนี้

ผมเชื่อว่า “ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ” ของเวียดนามคือ ความสามารถในการดึงเอาจุดเด่นของระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มาใช้เป็นจุดแข็งในการบริหารประเทศ การมีพรรคการเมืองพรรคเดียวส่งผลให้การเมืองมีเสถียรภาพมั่นคง เมื่อการเมืองนิ่ง ทุกอย่างก็เคลื่อนไหวไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้น เราจึงเห็นเวียดนามเดินหน้าเข้าเกียร์ 5 ขับเคลื่อนประเทศไปได้อย่างนุ่มนวล ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ของโลกที่เป็นปัจจัยลบอย่างที่ผ่านมาขนาดไหนก็ตาม

นอกจากนั้นการตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างทั่วถึงถือเป็นเหตุผลสำคัญของความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เพราะสามารถสร้างปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข และนำเวียดนามทะยานไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงบนรอยยิ้มที่สดใสของพี่น้องประชาชน

ข้อมูลที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งของเวียดนามที่อาจไม่มีใครพูดถึงบ่อยนักคือ “อายุเฉลี่ยของประชากร” เวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่า 90 ล้านคน ถือว่ามากเป็นอันดับที่ 14 ของโลก แต่ที่น่าสนใจคือ เวียดนามเข้าสู่ช่วงรุ่งเรืองของโครงสร้างประชากรตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะประเทศมีแต่คนหนุ่มสาว

เวียดนามมีประชากรมากกว่า 69% ของจำนวนประชากรทั้งหมดหรือประมาณ 61 ล้านคน อยู่ในช่วงวัยทำงาน จึงทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบในด้านทรัพยากรมนุษย์มากกว่าประเทศอื่นๆที่ส่วนใหญ่กำลังกลายเป็นประเทศที่มีแต่สังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามสูงลิ่วอย่างเห็นได้ชัด

ผมนำเรื่องประเทศเวียดนามมาเล่าให้ฟัง เพราะสิ่งที่ผมเห็นวันนี้ไม่ต่างกับสิ่งที่ผมเห็นในประเทศมาเลเซียเมื่อหลายสิบปีก่อน ในช่วงนั้นต้องถือว่ามาเลเซียอยู่ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาและมีสภาพไม่แตกต่างจากประเทศไทยหรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ แต่เวลาผ่านไปแป๊บเดียวจริงๆ วันนี้ Ranking ของมาเลเซียขยับมาอยู่อันดับที่ 20 กว่าๆของโลกแล้ว

จากการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาเลเซียใช้เวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษกระโดดเข้าสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วตามสิงคโปร์ไปติดๆ และถ้าจำกันได้สิงคโปร์เป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งใช้เวลาในการยกระดับประเทศที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ “น้ำกินน้ำใช้” มาสู่การเป็นประเทศที่เจริญระดับต้นๆของโลกเพียงแค่ 1 ชั่วอายุคนเท่านั้น

จากสำนวนไทยที่ว่า “มองดูละครแล้วย้อนดูตัว” ผมเชื่อ (จริงๆ) ว่าสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปอย่าง “ต้วมเตี้ยม” และปล่อยให้ประเทศต่างๆแซงหน้าไปเรื่อยๆประเทศแล้วประเทศเล่า มีสาเหตุจากเหตุผลเดียวจริงๆ นั่นคือ การปฏิวัติรัฐประหารที่มีมากถึง 13 ครั้ง จากสถิติที่ย่ำแย่นี้แสดงว่าประชาชนไทยถูกปล้นอำนาจทุกๆ 6.5 ปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา

แม้ว่าการรัฐประหารส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะราบรื่น ไม่ค่อยมีการเสียเลือดเสียเนื้อ แต่ที่ประเทศไทยมีรัฐประหารมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลกก็ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนในเวลาต่อมา ผลลัพธ์จากการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้ว่าได้ทำลายและส่งผลให้คนไทยจำนวนมากต้องประสบกับเคราะห์กรรม บ้านแตกสาแหรกขาดไปมากมายแค่ไหน เพราะรัฐประหารทีไรมีเพียงแค่คนกระจุกเดียวเท่านั้นที่ร่ำรวยเหลือล้น แต่คนส่วนใหญ่ที่เหลือมีแต่ “จนลง จนลง และจนลง”

เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนไม่ต้องพิสูจน์ เพราะถ้าการรัฐประหารสามารถช่วยชาติได้จริง ประเทศไทยต้องเจริญเติบโตและพัฒนาไปได้ไกลมากกว่านี้ อย่างน้อยที่สุดเราต้องไม่ล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านของเรา ในรัชสมัยเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 “พระปิยมหาราช” ของปวงชนชาวสยาม พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ทำให้สยามประเทศเวลานั้นเจริญทัดเทียมกับอารยประเทศ แต่เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ทำไมไทยยังเป็นได้แค่ประเทศที่กำลังพัฒนาโดยไม่เปลี่ยนแปลง

ผมยืนยันจากใจว่าผมรักประเทศไทยและภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ ผมได้อบรมสั่งสอนลูกทุกคนให้ภาคภูมิใจและรักชาติศาสน์กษัตริย์ของเรา ดังนั้น เมื่อทุกคนพิสูจน์ได้แล้วว่ารัฐประหารเป็นสิ่งเลวร้าย จึงควรเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องช่วยถ่ายทอดและสะท้อนผลร้ายของการรัฐประหารให้ลูกหลานของเราได้รับรู้ เพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่ต้องการปล้นอำนาจจากประชาชนสามารถอ้างเหตุผลว่าต้องทำเพราะ “รักชาติ” ได้อีก เพราะเหตุผลนี้เป็นแค่เรื่อง “โกหกหลอกเด็ก” เท่านั้น

สุดท้ายนี้ 3 ปีเศษที่ผ่านมาคงจะเป็นบทเรียนราคาแพงครั้งสุดท้ายที่ทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจ ได้โปรดอย่าลืมการกระทำของใครก็ตามที่สนับสนุนการรัฐประหารและช่วยกัน “หามเสลี่ยงให้เผด็จการนั่ง” เพราะคนที่สมรู้ร่วมคิดกับการทำร้ายประเทศและประชาชนเช่นนี้ มันผู้นั้นย่อมไม่สมควรได้รับโอกาสให้กลับมาทำเรื่องเลวร้ายชั่วช้าแบบนี้ได้อีก


You must be logged in to post a comment Login