วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

คนแก่พลัดหลงกาลเวลา / โดย เรืองยศ จันทรคีรี-ณัฐวุธ วัชรกุลดิลก

On July 31, 2017

คอลัมน์ : กรีดกระบี่บนสายธาร

ผู้เขียน : เรืองยศ จันทรคีรี-ณัฐวุธ วัชรกุลดิลก

โลกยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย แม้แต่โลกฟิสิกส์ก็ละทิ้งโลกฟิสิกส์แบบเก่าเอาไว้ข้างหลัง ทฤษฎีฟิสิกส์แบบเก่าของนิวตันถูกปฏิเสธไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ฟิสิกส์ในปัจจุบันเรียกว่า “ฟิสิกส์ควอนตัม” (quantum physics) และยังก้าวหน้าไปจนถึงกับเรียกเป็น physics of mind quantum ด้วยช้ำไป คือการเรียนรู้และทำความเข้าใจอนุภาคในระดับที่เล็กมากกว่าอะตอมเสียอีก คือเป็นอนุภาคในระดับเล็กมากที่สุดในจักรวาลนี้

ความจริงฟิสิกส์ควอนตัมถือกำเนิดขึ้นมาเพราะนักวิทยาศาสตร์ต้องการทำความรู้จักกับสิ่งที่เล็กกว่าอะตอมนั่นเอง ตลอดจนคลื่นของอนุภาคต่างๆที่เล็กที่สุดในจักรวาล

ฟิสิกส์ควอนตัมประกอบไปด้วย 2 วิชาที่เป็นหลักใหญ่ ได้แก่ วิชาฟิสิกส์ควอนตัม และทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทั้งสัมพัทธภาพทั่วไปและสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งเกิดจากจินตภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดยทฤษฎีฟิสิกส์ควอนตัมตอบคำถามและพิสูจน์ได้ว่าแม้สุญญากาศก็ไม่มีความว่างเปล่า แต่ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กที่มีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา

นักฟิสิกส์อธิบายว่า ระดับสิ่งที่เล็กกว่าอะตอมจะปรากฏออกมาในระดับสิ่งที่เป็นคลื่น ซึ่งสามารถตรวจจับและพิสูจน์ได้ถึงความมีอยู่เช่นกันจนถึงระดับคลื่นสมองด้วยซ้ำไป ปัจจุบันเรียกว่า Indphysics

เขียนอย่างนี้หมายความว่าแม้แต่จิตก็มีคลื่นพลังงานคือเป็นฟิสิกส์ด้วย สามารถตรวจวัดและสัมผัสได้ เท่ากับว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่มาก่อนกาล และค้นพบเรื่องนี้มานานแล้วด้วยกระบวนการที่เราเรียกว่าการตรัสรู้

มีสิ่งหนึ่งที่น่ากล่าวถึง mind quantum physics คือ mind physics แท้จริงก็คือ “สัญญา” ตามความหมายของพระพุทธเจ้าคือ การจำได้หมายรู้ เย็นร้อนอ่อนแข็งต่างๆ

สัญญานั้นจะโยงเกี่ยวถึงกระบวนการผลิตซ้ำ ซึ่งมนุษย์มักถูกครอบงำและยึดติด จนมนุษย์แม้จะมีอิสระในทางเลือกต่างๆ แต่เพราะการยึดติดจึงมักไม่เลือกอะไรใหม่ ปล่อยให้ตนเองถูกครอบงำและยึดติดต่อไปกับสิ่งเดิมๆจนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร กลายเป็นเพียงสภาวะที่พึงใจกับการถูกครอบงำจนสลัดให้หลุดไม่ได้

นี่เป็นการอธิบายที่สั้นที่สุดถึงการยึดติดหรือการถูกครอบงำของคนในสังคม ยิ่งมีการผลิตอะไรซ้ำๆ กรอกหูเป็นประจำทุกเช้าเย็น บางทีเผด็จการก็อาจถูกตีความเป็นประชาธิปไตยได้ หากเราขาดสติและปัญญา รู้ไม่เท่าทันสัญญาที่คอยกรอกหูเข้า ก็จะกลายเป็นสังคมที่ถูกครอบงำในโครงสร้างทุกชั้นทั้งเช้าสายบ่ายเย็น ทำให้เรากลายเป็นคนหลงผิดของยุคสมัยและถูกครอบงำจนคิดอะไรๆอย่างเป็นอิสระไม่ได้เลย

การถอดความหมายของ physics quantum สามารถถอดความหมายและตีความอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งพอสรุปได้ว่า โลกทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้า และอาจเกิดนวัตกรรมที่ก้าวล้ำหน้าไปยิ่งกว่านวัตกรรมในโลก 4.0 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียด้วยซ้ำไป ตัวอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นครราชสีมา เริ่มค้นคิดและสร้างนวัตกรรมรถเข็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์ให้บังคับรถเข็นได้ด้วยคลื่นสมอง นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นมาในประเทศไทยที่ก้าวหน้าในระดับเอาคลื่นในระดับต่ำกว่าอะตอมมาใช้งานได้กับฟิสิกส์ที่เป็น mains physics สะท้อนว่านวัตกรรรมโลกฟิสิกส์มีทิศทางที่ก้าวไกลไปข้างหน้าเกินกว่าความคาดหมายของผู้คนในยุคปัจจุบัน

จากแนวโน้มวงการวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าจนถึงนวัตกรรมในขนาดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ mind physics จึงสะท้อนได้ว่าคนในรุ่นอาวุโสปัจจุบันอาจจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนในรุ่นอนาคตไม่ได้อีกแล้วคือ แนวโน้มคนรุ่นเราจะเป็นรุ่นที่ล้าหลังมากขึ้นเรื่อยๆ หากกล่าวแบบไม่เกรงใจคือ พวกเราเป็นเพียงคนแก่ที่หลงยุค เป็นผู้พลัดหลงหรือผู้อพยพเข้ามาอยู่ในกาลเวลาของคนในเจเนอเรชั่นนี้เท่านั้น

ตรงนี้ทำให้เราต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไว้บ้าง อย่าพยายามบังอาจไปคิดแทนคนรุ่นอนาคตเสียทุกอย่าง เพราะการพลัดหลงกาลเวลา เป็นผู้อพยพแห่งกาลเวลาของยุคสมัย ถ้าหากเราไม่เข้าใจภววิสัยของกาลเวลา คือไม่ถูกที่ ไม่ถูกทาง และไม่ถูกเวลา ถ้ายังดันทุรังโดยไม่คิดให้สอดคล้องกับความจริงของการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย เราอาจกลายเป็นผู้อพยพหรือผู้พลัดหลงของยุคสมัยและสร้างความวิบัติฉิบหายให้แก่ชาติบ้านเมืองของตัวเองอย่างยับเยินจนสุดประมาณได้ เราจึงต้องฝึกหัดเป็นคนแก่ที่เจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง

เมื่อหลายปีก่อนขณะที่กำลังเขียนบทความเกี่ยวกับการเมืองและความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายในประเทศไทย ปรากฏว่าลูกสาวของเลขานุการเล่นจนหนวกหูมากจึงได้เอ็ดเอา คือผมต้องใช้วิธีพูดแล้วให้เลขาฯพิมพ์ตาม ปรากฏว่าลูกสาวของเลขาฯหรือหลานซึ่งถูกดุว่าดื้อเหลือเกินที่เล่นส่งเสียงรบกวนการทำงาน เด็กวัย 3 ขวบชื่อเนย หรือเด็กหญิงเปรมปารณีย์ ประสงค์ผล ก็ได้แย้งกลับโดยบอกผมว่า “คุณตา พวกคนแก่นี้ชอบบอกว่าเด็กดื้อ แต่จริงๆแล้วหนูว่าคนแก่ดื้อกว่าเด็กนะตา”

ผมว่าเด็กพูดถูก นึกถึงเรื่องนี้จึงเขียนขึ้นมาเตือนใจเพื่อสะกิดใจใครได้บ้างว่า ให้ฝึกเจียมเนื้อเจียมตัวในฐานะที่เป็นเพียงผู้อพยพหรือผู้พลัดหลงจากยุคสมัยหรือกาลเวลา ข้อเขียนนี้ไม่ได้เจาะจงไปว่ากล่าวหรือเตือนใคร แต่เห็นว่าเด็กพูดถูก บรรดาตาๆทั้งหลายฟังแล้วก็อย่าไปโกรธเด็กเลย


You must be logged in to post a comment Login