วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

ศาสนาไม่ล้าสมัย / โดย บรรจง บินกาซัน

On July 24, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

นอกเหนือไปจากปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับการยังชีพบนโลกใบนี้แล้ว มนุษย์ยังต้องการอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์สุดประเสริฐต่างไปจากสัตว์ หนึ่งในนั้นคือกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบในสังคม

ก่อนที่มนุษย์จะมีรัฐสภาหรือรัฐบาลออกกฎหมายเพื่อจัดระเบียบสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบปลอดภัย ศาสนาเคยทำหน้าที่เป็นกฎหมายให้แก่มนุษย์ และก่อนที่กฎหมายจะอยู่ในรูปลายลักษณ์อักษร ส่วนหนึ่งของศาสนาถูกปลูกฝังอยู่ในตัวตนของมนุษย์มาก่อนแล้วในรูปของความรู้สึกในเรื่องคุณธรรม

ถามเด็กอายุ 10 ขวบดูก็ได้ว่าการถูกกลั่นแกล้งรังแกเป็นสิ่งดีหรือไม่ เด็กทุกคนยืนยันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าเป็นสิ่งไม่ดี และถ้าถามเด็กว่าการช่วยเหลือคนยากจน คนพิการเป็นสิ่งดีไหม เด็กทุกคนจะตอบว่าดี คำตอบดังกล่าวนี้ถูกฝังอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่แล้ว คำสอนของศาสนาถูกส่งมาเพื่อยืนยันรับรองความรู้สึกเรื่องคุณธรรมที่อยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ และห้ามปรามสิ่งที่ความรู้สึกของมนุษย์ยืนยันว่าเป็นสิ่งไม่ดี

เนื่องจากมนุษย์ไม่รู้ว่าจะรักษาความรู้สึกเรื่องคุณธรรมดังกล่าวไว้ในจิตใจได้อย่างไร ศาสนาจึงถูกส่งมาเพื่อบอกวิธีการให้แก่มนุษย์ทั้งในด้านความเชื่อและการปฏิบัติ

เมื่อศึกษาถึงแก่นธรรมคำสอนที่แท้จริงของศาสนาใดก็ตาม เราจะพบว่าศาสนามีวัตถุประสงค์สำคัญที่คล้ายๆกันดังต่อไปนี้

1.เพื่อรักษาชีวิต ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงมีคำสั่งห้ามทำลายชีวิต และหากใครละเมิดคำสั่งจะถูกลงโทษ

2.เพื่อรักษาเชื้อสาย ศาสนาจึงห้ามการผิดประเวณีและมีบทลงโทษผู้ละเมิด

3.เพื่อรักษาทรัพย์สิน ศาสนาจึงห้ามการพนัน ห้ามเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย

4.เพื่อรักษาสติปัญญา ศาสนาจึงห้ามเสพสิ่งมึนเมาและการกราบไหว้รูปปั้น

5.เพื่อรักษาศาสนา ดังนั้น ศาสนาจึงมีคำสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติศาสนกิจเพื่อให้ศาสนารักษาชีวิตของตนเองไว้

วัตถุประสงค์ดังกล่าวสามารถพบได้ในศีลห้าของพุทธศาสนา ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน ดังนั้น ศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เมื่อผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาของศาสนา มนุษย์จึงสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แต่เมื่อมนุษย์ละเมิดคำสั่งหรือกฎเกณฑ์กติกาของศาสนาเมื่อใด ปรากฏว่าสังคมจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความเสียหายติดตามมา ซึ่งทำให้มนุษย์รู้สึกไม่สบายใจเมื่อนั้น

คัมภีร์โตราห์ (แปลว่า “กฎหมาย”) ถูกประทานแก่โมเสสเพื่อนำมาใช้ปกครองชนชาติอิสราเอล เมื่อลูกหลานอิสราเอลละเมิดกฎของคัมภีร์ ลูกหลานอิสราเอลก็ประสบความหายนะ

อาณาจักรโรมันไบแซนตินเคยใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นกฎหมายปกครองอาณาจักรอยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี แต่เพราะความขัดแย้งกันระหว่างบุคลากรทางศาสนากับนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความแตกแยกจึงเกิดขึ้นในคริสตจักร และศาสนาคริสต์ถูกจำกัดบทบาทไว้เป็นแค่เพียงพิธีกรรมในโบสถ์เท่านั้น ส่วนเรื่องกิจกรรมอื่นๆในชีวิตทางสังคมล้วนขึ้นอยู่กับอำเภอใจของมนุษย์ผู้ร่างกฎหมาย

โลกมุสลิมเคยใช้กฎหมายอิสลาม (ชะรีอ๊ะฮ์) ในการปกครองเป็นเวลานานนับพันปี แต่เมื่อกฎหมายอิสลามถูกชาติตะวันตกยกเลิกหลังการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมานใน ค.ศ. 1924 และชาติตะวันตกที่เป็นผู้ปกครองนำกฎหมายตะวันตกมาใช้แทนโดยอ้างว่าเพื่อความทันสมัย ความแตกแยกและความหายนะก็เกิดขึ้นในโลกมุสลิมอย่างที่เห็นกัน

ปัจจุบันนักวิชาการมุสลิมได้สรุปตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า ศาสนามิได้เป็นสิ่งล้าสมัยและขัดขวางความเจริญก้าวหน้า แต่การที่มนุษย์พยายามจะแสวงหาประโยชน์และสร้างความทันสมัยโดยละเมิดคำสอนของศาสนาต่างหากที่นำความหายนะมาสู่สังคมมนุษย์


You must be logged in to post a comment Login