วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

แก้จนให้ถูกวิธี / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On July 20, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม ผมไปร่วมนำเสนอความคิดเห็นในงานเสวนาวิชาการ “ปากท้องประชาชน เงิน เงิน เงิน กระเป๋าใครตุง-แฟบ???” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ซึ่งภาพลวงตาหนึ่งในขณะนี้คือ มีการเข้าคิวยาวขนาดไปจองคิวตั้งแต่ตี 3 เพื่อซื้อกระเป๋าราคานับแสนของยี่ห้อแบรนด์เนมดังในห้างสรรพสินค้าที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ปรากฏการณ์นี้ดูคล้ายประเทศไทยไม่ได้จน คนรวยมีมากมาย แต่ความจริงเป็นเพียงคนรวยหยิบมือหนึ่งเมื่อเทียบกับคนจนหรือสามัญชนทั่วประเทศ

ปรากฏการณ์ข้างต้นไม่อาจสะท้อนว่าประเทศไทยรวยแต่อย่างใด ทุกวันนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ “รวยกระจุก จนกระจาย” คือคนรวยกระจุกตัวเฉพาะกลุ่ม ส่วนคนจนกระจายทั่วไป คนจนจนลงเรื่อยๆ ส่วนคนรวยก็รวยขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้สินค้าขายดีได้แก่บ้านหรือห้องชุดราคาแพง รถหรูราคาแพง หรือกระเป๋าจากต่างประเทศราคาแสนแพง ถ้ารัฐบาลอยากให้ประเทศมีการพัฒนา ประชาชนอยู่ดีกินดีจริงๆ ต้องทำดังนี้

1.เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในชนบทอันไพศาลได้รับประโยชน์ ส่วนการกล่าวหาเรื่องโกงก็ไม่เคยปรากฏ ที่จับได้ก็เป็นนายทหารใหญ่ๆที่ก่อการรัฐประหารในอดีต

2.ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่น วันนี้กู้เงินสถาบันการเงินดอกเบี้ยสูงถึง 7.5% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดินเพียง 1.5% เกิดช่องว่างถึง 5 เท่า ขณะที่ในอาเซียนมีช่องว่างเพียง 1 เท่าเท่านั้น

3.ให้การอุดหนุนประชาชน เช่น ส่งเสริมให้มีการรักษาพยาบาลฟรี ไม่ใช่ให้มีอภิสิทธิ์เฉพาะข้าราชการ

4.ไม่ควรนำเงินไปซื้อสิ่งไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วนต่อประเทศชาติ เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

หากทำตามข้อเสนอแนะนี้ก็จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ มีอิสรภาพทางการเงิน และมีอิสรภาพทางความคิด ไม่ถูกจองจำด้วยความจำเป็นที่ต้อง “ปากกัดตีนถีบ” ทำมาหากินอย่างไม่มีอนาคต อิสรภาพทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก ทำให้เรามีความเป็นตัวเองและเป็นการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย ถ้าประชาชนอ่อนแอต้อง “กินน้ำใต้ศอก” พวกข้าราชการ ประชาชนก็ไม่มีอิสรภาพ บางคนไม่ต้องการให้ประชาชนมีอิสรภาพทางการเงินเพื่อจะได้ขาดอิสรภาพทางความคิดและเบื่อประชาธิปไตย ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์จะได้สูบเลือดได้นานเท่านาน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องภาษี ปรกติคนไม่อยากเสียภาษีเพราะกลัวถูกนักการเมืองโกง แต่ความจริงข้าราชการประจำอาจโกงมากกว่าด้วยซ้ำ เราถูกเป่าหูจนไม่อยากเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งที่เป็นภาษีที่ดี ทำให้ท้องถิ่นมีอิสรภาพทางการเงิน เราถูกลวงให้เข้าใจว่าต้องลดภาษีเพื่อเห็นใจคนจน ทั้งที่ไม่ควรลดหย่อนภาษีใดๆเลย เพราะคนจนมีจักรยานยนต์เก่าๆคันหนึ่งประมาณ 30,000 บาท ต้องเสียภาษีปีละ 400 บาท หรือมากกว่า 1% มีห้องชุดราคา 300,000 บาท เสียภาษี 0.1% เป็นเงิน 300 บาท หรือเดือนละ 25 บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะเสียอีก การจัดเก็บภาษีถูกๆอาจไม่คุ้มค่าในการเก็บ แต่คนรวยที่มีทรัพย์ราคา 50 ล้านบาท หากต้องเสียภาษี 1% เป็นเงินถึง 500,000 บาท จึงไม่ต้องการเสียภาษี ทำให้ร่างกฎหมายกำมะลอฉบับที่ออกมาแทบไม่มีการเก็บภาษีใดๆเลย

การขึ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาจไม่เป็นจริง รัฐบาลอาจใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นภาษี VAT เป็น 8% ในที่สุด ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ต่างจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บเฉพาะผู้มีทรัพย์ ยิ่งมีทรัพย์มากภาระภาษีก็จะมากขึ้นและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ถ้าไม่มีภาษีนี้ความเหลื่อมล้ำก็จะไม่สิ้นสุด

สังคมไม่ควรเปิดโอกาสให้คนรวยมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมจนเอารัดเอาเปรียบประชาชน คนที่รวยมากๆสามารถครอบงำประเทศไทย คนรวยเหล่านี้จึงไร้เกียรติและศักดิ์ศรี ทำได้แค่โชว์ความรวย เป็นพวกนิยมวัตถุ ทำทุกอย่างได้ด้วยเส้นสาย ติดสินบน เอาตัวและญาติเข้าแลก ปล้นชิงทรัพยากรของประชาชนอย่างไม่อาย จะสังเกตว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เวลาไปต่างประเทศมักจะเจ๊งกลับมา เพราะไม่สามารถติดสินบนได้ คนพวกนี้จึงไร้เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคน

ตรงกันข้ามกับคนจนหรือสามัญชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยมีเกียรติกว่ามาก แม้ไม่พอกิน แต่ยังหวังทำดีเพื่อชาติและประชาชน เสียสละเงิน เวลา กำลัง และปัญญาเพื่อส่วนรวม ล้วนเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง สามัญชนควรภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่โกงไม่เอาเปรียบใครกิน รักความยุติธรรมและหลักแห่งความเท่าเทียมกันตามระบอบประชาธิปไตย

จงภูมิใจที่เราเป็นสามัญชนผู้รักประเทศชาติ ประชาชน และประชาธิปไตย


You must be logged in to post a comment Login