วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

‘ทูตสวรรค์’ปัญญารู้จักได้ / โดย บรรจง บินกาซัน

On June 12, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

หนึ่งในหลักฐานที่ยืนยันว่ามนุษย์ได้รับความรู้ทางศาสนาจากแหล่งข้อมูลเดียวกันก็คือ ความเชื่อในสิ่งเร้นลับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของสิ่งที่คนไทยเรียกว่า “เทวดา” หรือ “เทพยดา” ชาวคริสเตียนเรียกว่า “Angels” และชาวมุสลิมเรียกเป็นภาษาอาหรับว่า “มลาอิก๊ะฮฺ” หรือแปลเป็นไทยว่า “ทูตสวรรค์”

ชาวกรีกในอดีตเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอำนาจควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เทพเจ้าแห่งขุนเขา เทพีแห่งความรัก เป็นต้น ส่วนคนไทยก็มีความเชื่อในเรื่องนี้ โดยรับเอาคติความเชื่อมาจากลัทธิพราหมณ์ที่คล้ายกับความเชื่อของชาวกรีก เช่น เชื่อว่าป่าเขามีเทวดาคอยอารักษ์ พระพิรุณเป็นผู้ให้ฝน เป็นต้น

แต่เพราะไม่เห็นอำนาจเหล่านั้น ผู้คนจึงจินตนาการวาดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นให้เป็นภาพหรือทำเป็นรูปปั้นเพื่อบูชาสักการะ คนไทยบางคนจินตนาการว่าเทวดาอยู่บนก้อนเมฆในท้องฟ้า และวาดเทวดาออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆ

ชาวคริสเตียนซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งก็มีความเชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ฝรั่งเรียกเทวดาเป็นภาษาอังกฤษว่า Angels และไม่ถือว่าเป็นพระเจ้า เช่น กามเทพ เป็นต้น แหล่งข้อมูลความเชื่อทางศาสนาของชาวคริสเตียนยังบอกด้วยว่าเทวดามีปีก ดังนั้น กามเทพของฝรั่งจึงมีปีก ถ้าใครได้มีโอกาสเข้าไปในฮาเกีย โซเฟีย (Hagia Sophia) ซึ่งเดิมเป็นโบสถ์คริสต์ออร์โธด็อกซ์ในตุรกีและมองขึ้นบนมุมหนึ่งของโดมก็จะพบภาพวาดเทวดามีปีกซึ่งถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน

ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามนอกจากจะมีความเชื่อในโชคลางไสยศาสตร์แล้ว ชาวอาหรับส่วนใหญ่ยังเชื่อว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นลูกสาวของพระเจ้าอีกด้วย ในขณะที่บางเผ่าเชื่อว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นพระเจ้า

เมื่อนบีมุฮัมมัดมาเผยแผ่อิสลาม สิ่งแรกที่ท่านพยายามทำก็คือ การสร้างความเข้าใจให้ชาวอาหรับรู้ว่า ผู้ที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะและวิงวอนนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว รูปปั้นเจว็ดและดวงดาวที่มนุษย์กราบไหว้บูชานั้นไม่ใช่พระเจ้า แม้แต่มลาอิก๊ะฮฺก็มิใช่พระเจ้า แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าในกิจการต่างๆ

และเพื่อให้ความเชื่อในการมีอยู่จริงของมลาอิก๊ะฮฺ คัมภีร์กุรอานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมลาอิก๊ะฮฺไว้ในหลายมิติ เช่น มลาอิก๊ะฮฺมีจำนวนมากมายในชั้นฟ้าจนไม่อาจนับได้ มลาอิก๊ะฮฺมีชื่อเรียกและหน้าที่ต่างกัน เช่น ญิบรีล (กาเบรียล) ทำหน้าที่นำสารจากพระเจ้ามายังนบี อิสรอฟีลทำหน้าที่เป่าแตรส่งสัญญาณวันสิ้นโลก มุงกัรฺและนากิรฺทำหน้าที่สอบสวนวิญญาณในหลุมฝังศพ มลาอิก๊ะฮฺถูกสร้างมาจากแสงสว่าง มนุษย์จึงมองไม่เห็น มลาอิก๊ะฮฺไม่กิน ไม่ดื่ม และไม่มีความต้องการทางเพศ เชื่อฟังพระเจ้าโดยไม่ฝ่าฝืน

นอกจากนี้แล้วคัมภีร์กุรอานยังกล่าวว่า มลาอิก๊ะฮฺมีหลายระดับ ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺจึงมีตั้งแต่สองปีกไปจนถึงหลายร้อยปีก สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่ทั้งหมดเป็นบ่าวทำหน้าที่รับใช้พระเจ้า มิใช่พระเจ้าที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ

คัมภีร์กุรอานเล่าว่า พระเจ้าได้ส่งมลาอิก๊ะฮฺ 3 องค์ไปหานบีลูฏ (โลท) เพื่อทำลายเมืองโซดอม โดยแปลงกายเป็นชายหนุ่มรูปงาม 3 คน และชายหนุ่มทั้งสามนี้ได้แจ้งให้นบีอิบรอฮีมรู้ถึงวัตถุประสงค์การมาของพวกตน ในสมัยของนบีมุฮัมมัด มลาอิก๊ะฮฺได้ส่งไพร่พลมาช่วยฝ่ายมุสลิมรบจนทำให้ศัตรูต้องแตกพ่ายไปทั้งๆที่มีกำลังมากกว่า

เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า คนรุ่นใหม่มักมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นความงมงาย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า จึงเหมารวมว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าหลัง แต่คนรุ่นใหม่นี้เองที่วิ่งหาสัญญาณโทรศัพท์ที่ตัวเองมองไม่เห็น แต่รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าไม่มีสัญญาณ การติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์ก็ไม่สามารถทำได้

พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับนบีของพระองค์โดยใช้มลาอิก๊ะฮฺเป็นสื่อกลางที่ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ เช่นเดียวกับมนุษย์ใช้สัญญาณโทรศัพท์ที่มองไม่เห็นเป็นสื่อกลางในการพูดคุยกัน ถ้ามนุษย์สร้างสัญญาณดาวเทียมเพื่อการติดต่อสื่อสารกันได้ ทำไมพระเจ้าจะสร้างมลาอิก๊ะฮฺจากแสงสว่างเป็นสื่อกลางติดต่อสื่อสารกับนบีของพระองค์ไม่ได้?


You must be logged in to post a comment Login