วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำลายศาสนา ทำลายธรรมชาติ / โดย บรรจง บินกาซัน

On May 1, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ศาสนาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ความสัมพันธ์แนวดิ่งระหว่างมนุษย์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนที่เรียกกันว่า “พระเจ้า” ส่วนที่สองคือ ความสัมพันธ์แนวระนาบระหว่างมนุษย์กับสิ่งถูกสร้างที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตรอบตัวมนุษย์

ถ้าความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าเป็นไปด้วยความเข้าใจอันดี ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่อยู่รอบตัวก็จะพลอยดีไปด้วย และความสัมพันธ์ที่ดีทั้ง 2 ส่วนนี้เองที่จะสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชีวิตมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและวิญญาณ

ความสัมพันธ์ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะรู้จักสถานะของตัวเองหรือไม่

ในสำนักงาน ถ้าลูกจ้างไม่รู้จักสถานะตัวเอง ทำตัวกร่างวางท่าเป็นนาย ไม่ช้าก็ตกงาน

ถ้าคนในจังหวัดใดต้องการจะพบผู้ว่าราชการจังหวัดที่บ้านเพื่อปรึกษาหรือขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง คนผู้นั้นก็ต้องแสดงความเคารพผู้ว่าฯด้วยการนัดขอเข้าพบ เมื่อเข้าไปในอาณาบริเวณบ้านของท่านผู้ว่าฯแล้วก็ต้องไม่ทำร้ายสัตว์เลี้ยง หรือทำลายต้นไม้และทรัพย์สินของผู้ว่าฯ หากผู้เข้าพบรู้จักวางตนถ่อมตัวและพูดจาน่ารัก ผู้ว่าฯก็จะเอ็นดูให้ความช่วยเหลือ ขากลับอาจให้มะม่วงจากต้นในสวนหน้าบ้านติดไม้ติดมือกลับมาอีกก็เป็นได้

โลกใบนี้และสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นมา แต่ทุกสิ่งรวมทั้งตัวมนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และทุกสรรพสิ่งเป็นของพระองค์ ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักความจริงในเรื่องนี้และไม่รู้จักสถานภาพของตัวเอง แต่กลับวางตัวเป็นใหญ่ ไม่ให้ความเคารพพระเจ้าผู้ทรงสร้างและผู้ทรงเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง ไม่ช้าความฉิบหายใหญ่หลวงก็จะติดตามมา

ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงสอนมนุษย์ให้มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้า และให้มนุษย์ปฏิบัติพิธีกรรมบางอย่างเพื่อแสดงการยอมรับพระองค์ว่าเป็นผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดและเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง ทั้งนี้ เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้จักสถานะตัวเอง ด้วยสำนึกที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติพิธีกรรมด้วยความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้มนุษย์ไม่ทำลายสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นของพระเจ้า แต่จะใช้ทรัพยากรบนโลกเท่าที่พระองค์อนุญาต

ดังนั้น ลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาก็คือ ศาสนามีข้อห้ามและข้อใช้ให้ปฏิบัติเพื่อรักษาความสัมพันธ์ 2 ส่วนนี้ไว้

คำสอนของศาสนามีคำสั่งห้ามเสพสิ่งมึนเมา เพราะมันทำลายสติปัญญาที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ถ้ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ความมึนเมาจะส่งผลเสียไม่เพียงแต่ผู้เสพเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์ด้วย

ไม่เพียงแต่ห้ามเสพสิ่งมึนเมาเท่านั้น ศาสนายังมีคำสั่งห้ามบริโภคเนื้อของสัตว์บางชนิดที่ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่จะเกิดโทษกับมนุษย์เสียด้วยซ้ำ เช่น เนื้อของสัตว์ที่ใช้เขี้ยวและกรงเล็บจับสัตว์อื่นเป็นอาหาร ทั้งนี้ เพื่อที่มนุษย์จะได้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับระบบนิเวศที่อยู่รอบตัวมนุษย์

สัตว์ที่ใช้เขี้ยวเล็บจับสัตว์อื่นเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ หมาป่า งู นกอินทรี เหยี่ยว มีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น หนู กระต่ายป่า เก้ง กวาง วัวป่า เพราะสัตว์เหล่านี้แพร่ลูกออกหลานเร็วมาก ประชากรหนูที่มีจำนวนมากสามารถทำลายต้นข้าวในนาหลายสิบไร่ได้ภายในคืนเดียว ฝูงวัวป่าหลายพันตัวสามารถเปิดผืนดินให้แห้งแล้งได้จากการกินหญ้าที่ปกคลุมผืนดิน

การที่พระเจ้าสร้างสัตว์ที่ใช้เขี้ยวเล็บจับสัตว์อื่นเป็นอาหารก็เพื่อเป็นการรักษาสมดุลทางธรรมชาติไว้ การล่าสัตว์เหล่านี้มาบริโภคโดยไม่จำเป็นไม่เกิดประโยชน์ แต่กลับมีโทษเพราะมันเป็นการทำลายเครื่องรักษาสมดุลทางธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างไว้ และสิ่งที่จะได้รับผลเสียหายจากการไม่เคารพพระเจ้าก็คือความหายนะ

กฎของศาสนากับกฎของธรรมชาติมาจากที่เดียวกันและมีความสัมพันธ์กัน การทำลายกฎของศาสนาคือการทำลายกฎของธรรมชาติ


You must be logged in to post a comment Login