วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

สันติภาพมีค่าเสมอ / โดย บรรจง บินกาซัน

On April 10, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ถึงแม้อาคารทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า “ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ” ถูกสร้างขึ้นมาด้วยหินตามธรรมชาติโดยอิบรอฮีมและอิสมาอีล 2 พ่อลูกในหุบเขาบักก๊ะฮฺที่ไร้ผู้คนเมื่อ 4,000 กว่าปีก่อน แต่หลังจากอิบรอฮีมได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าให้เรียกร้องผู้คนมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อการเคารพสักการะพระองค์ นับแต่นั้นมาผู้ตอบสนองคำเรียกร้องของอิบรอฮีมได้ทยอยมายังสถานที่แห่งนี้กันไม่ขาดสาย

เนื่องด้วยก๊ะอฺบ๊ะฮฺได้รับการถือว่าเป็นบ้านของพระเจ้า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่จำเป็นต้องมีผู้ดูแล ดังนั้น ชาวอาหรับเผ่ากุเรชซึ่งเป็นลูกหลานของอิสมาอีลจึงต้องรับหน้าที่ในการดูแล และมีประเพณีที่เคร่งครัดห้ามขัดขวางคนที่จะเข้ามายังสถานที่แห่งนี้

เมื่อกาลเวลาผ่านไปชาวอาหรับหลงลืมเจตนารมณ์ดั้งเดิมของการสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺ โดยการนำเอาเทวรูปและเจว็ดบูชากว่า 300 องค์มาตั้งรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ จนมาถึงสมัยของนบีมุฮัมมัด ท่านได้บอกชาวอาหรับในเวลานั้นว่าเจว็ดบูชาเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรไปกราบไหว้ แต่พระเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวต่างหากที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ

ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้ปกครองเมืองมักก๊ะฮฺและดูแลก๊ะอฺบ๊ะฮฺจึงเริ่มต่อต้านนบีมุฮัมมัดจากเบาไปหาหนัก จนกระทั่งท่านนบีและมุสลิมต้องอพยพไปอยู่ที่เมืองยัษริบ แม้กระนั้นการย่ำยีบีฑาก็ยังไม่จบ ชาวเมืองมักก๊ะฮฺได้ยกกองทัพไปรุกรานเมืองยัษริบโดยหมายจะกำจัดมุสลิมให้หมดสิ้นไป การสู้รบจึงเกิดขึ้นหลายครั้ง และผลมักจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายรุกราน

เมื่อเริ่มมีกำลังเข้มแข็งขึ้น นบีมุฮัมมัดและมุสลิมเริ่มมีความรู้สึกคิดถึงบ้านที่มักก๊ะฮฺและอยากไปทำพิธีเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺตามประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน ดังนั้น นบีมุฮัมมัดจึงพามุสลิมจำนวนหนึ่งใส่ชุดนุ่งขาวห่มขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไปทำพิธีที่ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ และไม่พกพาอาวุธนอกจากมีดสั้นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันออกเดินทางจากเมืองยัษริบ

เมื่อรู้ว่านบีมุฮัมมัดนำมุสลิมมายังมักก๊ะฮฺ ผู้นำชาวมักก๊ะฮฺได้ส่งกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่งไปสกัดกั้นตรงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า “ฮุดัยบียะฮ์” ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมักก๊ะฮฺ หัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺรู้ดีว่าการสกัดกั้นคนที่เดินทางมายังก๊ะอฺบ๊ะฮฺเพื่อทำพิธีทางศาสนาถือเป็นการทำผิดประเพณีอย่างร้ายแรง แต่คนพวกนี้ก็ตัดสินใจทำ เพราะเกรงว่าหากปล่อยให้นบีมุฮัมมัดกับสาวกเข้าเมืองมักก๊ะฮฺ ชาวอาหรับเผ่าอื่นๆจะเข้าใจผิดคิดว่าเผ่าที่ปกครองมักก๊ะฮฺเกรงกลัวความเข้มแข็งของมุสลิมและจะหันไปเข้ากับฝ่ายมุสลิม

เมื่อถูกสกัดกั้นการเจรจาต่อรองจึงเริ่มขึ้น ตัวแทนหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺยืนยันไม่อนุญาตให้นบีมุฮัมมัดและมุสลิมเข้ามักก๊ะฮฺในปีนั้น แต่ให้มาในปีหน้าและเข้าเมืองมักก๊ะฮฺเพื่อเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺได้ 3 วัน เสร็จแล้วให้รีบออกไป พร้อมกันนั้นก็วางเงื่อนไขต่างๆที่มุสลิมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เช่น ถ้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺหนีไปยังเมืองยัษริบ ฝ่ายมุสลิมต้องส่งตัวผู้นั้นกลับ แต่ถ้าฝ่ายมุสลิมหนีไปยังมักก๊ะฮฺ ชาวมักก๊ะฮฺจะไม่ส่งตัวมุสลิมคืน ยิ่งเมื่อตัวแทนชาวมักก๊ะฮฺให้นบีมุฮัมมัดลงนามโดยไม่ยอมรับตำแหน่งศาสนทูต บรรดาสาวกของท่านยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น

แม้สัญญาจะมีข้อความที่มุสลิมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและดูหมิ่นนบีมุฮัมมัด แต่ในสัญญานี้มีข้อตกลงหนึ่งซึ่งนบีมุฮัมมัดพอใจและยอมแลกกับความเสียเปรียบ นั่นคือ โดยสัญญานี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะเลิกทำสงครามกันเป็นเวลา 10 ปี เมื่อลงนามทำสัญญาแล้วนบีมุฮัมมัดได้นำสาวกของท่านเดินทางกลับ

ช่วงเวลาแห่งความสงบปราศจากการรบราฆ่าฟันนี้เองเป็นสิ่งที่นบีมุฮัมมัดแสวงหามานาน ดังนั้น เมื่อได้สันติภาพมาท่านจึงใช้โอกาสนี้ให้สาวกของท่านนำสารไปยังจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันไบแซนติน จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ผู้ปกครองอียิปต์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรอักซุม และหัวหน้าเผ่าต่างๆทั่วคาบสมุทรอาหรับ ให้หันมาสู่อิสลาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อิสลามเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง และมีคณะตัวแทนชาวอาหรับเผ่าต่างๆเดินทางมาประกาศตนเข้ารับอิสลามต่อหน้านบีมุฮัมมัดจนมุสลิมมีความเข้มแข็ง และทำให้นบีมุฮัมมัดสามารถนำมุสลิมกลับไปยึดมักก๊ะฮฺได้ในที่สุด

สันติภาพเป็นสิ่งมีค่าเสมอในสายตาของมหาบุรุษ


You must be logged in to post a comment Login