วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

จีนเปลี่ยน สหรัฐเปลี่ยน โลกเปลี่ยน / โดย ณ สันมหาพล

On January 30, 2017

คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง
ผู้เขียน : ณ สันมหาพล

คำปราศรัยของ 2 ผู้นำมหาอำนาจโลกคือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน จะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในเกือบทุกด้าน

คำปราศรัยของสี จิ้นผิง ในการประชุม World Economic Forum ที่สวิตเซอร์แลนด์ ประกาศว่าตั้งแต่นี้ไปจีนจะรับบทบาทผู้นำอันดับหนึ่งของโลกอย่างสมบูรณ์ โดยยอมรับระบบการค้าและเศรษฐกิจเสรี ความเท่าเทียมระหว่างประเทศเล็ก กลาง และใหญ่ ยิ่งกว่านั้นยังจะผลักดันให้โลกปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และให้ทุกประเทศเลิกละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่นำไปสู่การเกิดสงคราม

ส่วนคำปราศรัยของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 20 มกราคม ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้นำจีนอย่างสิ้นเชิงคือ จะให้สหรัฐถอนตัวจากเวทีโลก โดยเลิกยุ่งกับกิจการภายในของประเทศต่างๆทุกด้าน สหรัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้กลับมาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่

การประกาศของผู้นำจีนก่อนผู้นำสหรัฐเหมือนประกาศล่วงหน้าให้สหรัฐรู้ว่า บทบาทของจีนในอนาคตในเวทีโลกจะเป็นอย่างไร

ส่วนการปราศรัยของทรัมป์ถือเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ในทุกด้าน ไม่ว่าเนื้อหา การใช้ถ้อยคำและประโยคที่จะเป็นอมตะตลอดไป แต่จะเป็นในเชิงตื่นตระหนกและหดหู่ของคนอเมริกันและโลก เพราะไม่นึกว่าผู้นำสหรัฐจะพูดเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ในสหรัฐ แต่ทั่วโลกก็จับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อย่างเช่นความเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีทั่วโลกที่ประกาศจะทำทุกอย่างเพื่อต่อต้านทรัมป์ ขณะที่ทั่วโลกก็ต้องรับมือการเปลี่ยนแปลงต่างๆจากการปรับเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐและจีนอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งทางการเมืองและการค้า

ยิ่งจีนประกาศจะเป็นผู้นำโลกและยึดหลักการการค้าเสรี เรื่องที่น่าวิตกคือ กลุ่มทุนจีนที่จะทะลักไปทั่วโลก รวมทั้งไทยที่ต้องระวังที่สุดคือด้านการเกษตร แม้แต่สหรัฐยังตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในสหรัฐตามที่ทรัมป์ประกาศ ซึ่งสอดคล้องกับทุนจีนที่จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐ

ไทยก็ต้องปรับตัวตามกระแสของสหรัฐที่ยังไม่แน่นอนและอาจเกิดความผันผวนได้ตลอดเวลา แม้หลายฝ่ายเชื่อว่าทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีได้เพียงสมัยเดียว หรืออาจเสี่ยงที่จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งหากสำนักข่าวกรองกลางและสำนักงานสอบสวนกลางมีหลักฐานว่าทรัมป์ได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง

คำถามที่ถามกันมากคือ ทำไมทรัมป์ไม่ออกมาปฏิเสธและประณามการปล่อยข่าวที่ออกมา แต่ทรัมป์ยังประกาศเป็นเพื่อนกับผู้นำรัสเซียและจะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองมากขึ้น

ที่น่าวิตกกว่านั้นคือ ระบบเศรษฐกิจและการค้าโลกจะเกิดอะไรขึ้น ทรัมป์ประกาศจะยึดผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก และขู่จะยกเลิกข้อตกลงทางการค้าที่เสียเปรียบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่บิดเบือนค่าเงิน โดยจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนถึง 45% รวมทั้งจะลงโทษบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ชอบจ้างงานแบบ Outsource ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสร้างงานให้กับคนเอเชียแทนที่จะเป็นคนอเมริกัน

ไม่ว่าจะมองด้านใดนโยบายของทรัมป์ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกอย่างมาก รวมถึงเศรษฐกิจไทย

ขณะที่มีการวิเคราะห์ว่าในยุคของทรัมป์อาจทำให้คนอเมริกันอพยพไปอยู่ประเทศอื่นมากขึ้น หรือไปพำนักแบบชั่วคราวหรือขอลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีการอพยพทั้ง 2 กรณีมากขึ้น โดยเฉพาะการย้ายไปพำนักที่แคนาดาหรือประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ

ส่วนประเทศไทยก็มีคนอเมริกันอพยพเข้ามาปักหลักเช่นกัน โดยเฉพาะอดีตทหารช่วงระหว่างสงครามเวียดนามที่ส่วนใหญ่เกษียณอายุแล้ว

ดังนั้น ในระหว่างที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี หากสถานการณ์ในสหรัฐสับสน การย้ายออกจากสหรัฐของคนอเมริกันก็จะมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนเหล่านี้มีเงินออมหรือเงินบำนาญไม่น้อย ก็หวังว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่คนอเมริกันถูกใจ


You must be logged in to post a comment Login