วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

ซูเปอร์เซนส์ / โดย บรรจง บินกาซัน

On January 16, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

เมื่อมดคาบไข่จากใต้พื้นดินขึ้นสู่ที่สูง ไม่นานเราจะเห็นปรากฏการณ์น้ำท่วม ก่อนเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิคร่าชีวิตริมฝั่งอันดามันในปลายปี พ.ศ. 2547 มีคนเห็นสัตว์นานาชนิดตื่นตระหนกและรีบวิ่งขึ้นสู่ที่สูงโดยที่มนุษย์ไม่รู้เหตุผล ต่อเมื่อหายนภัยเกิดขึ้นแล้วสัตว์กลับรอดชีวิตในขณะที่มนุษย์ต้องถูกสังเวยไปนับแสนคน

ถามว่าสัญชาตญาณรู้ล่วงหน้าอย่างนี้มีในหมู่มนุษย์ไหม คำตอบคือมี แต่เป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่สะสมมานานจากการสังเกต เช่น ชาวประมงพอจะรู้ว่าสภาพลมฟ้าอากาศอย่างไรจะมีฝนตกหรือมีพายุเกิดขึ้น แต่คนในเมืองไม่รู้

ด้วยความที่มนุษย์อยากรู้เหตุการณ์ข้างหน้า ดังนั้น จึงมีมนุษย์บางคนอวดอ้างเป็นผู้รู้อนาคตทำนายชะตาผู้คนและบ้านเมืองโดยไม่รู้อนาคตของตัวเอง ขนาดกรมอุตุนิยมวิทยามีเครื่องมือติดตามสภาพอากาศที่ทันสมัยยังทำนายสภาพอากาศล่วงหน้าผิดพลาดบ่อยๆ

อนาคตจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้แน่ชัด

ความรู้ล่วงหน้าบางอย่างไม่มีในมนุษย์ทั่วไป แต่จะมีในมนุษย์บางคนที่ได้รับการคัดเลือกในฐานะเป็นความรู้พิเศษ และความรู้เช่นนี้มีหลายระดับตั้งแต่สิ่งที่เราเรียกกันว่า “สังหรณ์” หรือมีอะไรมาดลใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น การสังหรณ์เป็นความรู้ที่ไม่สามารถสอนกันในชั้นเรียน ไม่สามารถฝึกฝนได้ เกิดขึ้นกับใครบางคนในบางเวลาเท่านั้น

ในศาสนาอิสลาม การดลใจให้รู้ล่วงหน้าคือการติดต่อสื่อสารลับๆระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ ไม่ต่างอะไรไปจากคน 2 คนคุยโทรศัพท์ข้ามทวีปกัน ในภาษาอาหรับเรียกการดลใจเช่นนี้ว่า “วะฮีย์” ซึ่งเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และคน เช่น ผึ้งได้รับวะฮีย์จากพระเจ้าให้ทำรังอยู่ตามต้นไม้หรือตามหน้าผา เป็นต้น

วะฮีย์กับมนุษย์ก็มีหลายระดับ เช่น เมื่อตอนที่แม่ของโมเสส (นบีมูซา) เกิดความกลัวว่าลูกน้อยของนางจะถูกทหารของฟาโรห์ฆ่า คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า พระเจ้าได้ดลใจให้แม่ของโมเสสเอาทารกน้อยของนางไปใส่ตะกร้าลอยในแม่น้ำไนล์ และพระองค์สัญญาว่าจะคุ้มครองลูกน้อยของนางและจะนำลูกของนางกลับมาสู่อ้อมอกของนางอีกครั้ง ด้วยความเชื่อในพระเจ้า แม่ของโมเสสจึงทำตามการดลใจจากพระเจ้า และทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่พระเจ้าสัญญา

อีกกรณีหนึ่ง เมื่อลูกชายทั้ง 10 คนของยะกู๊บหรือยาโกบนำเสื้อที่เปื้อนเลือดของยูซุฟมาเป็นหลักฐานว่า ยูซุฟถูกหมาป่ากัดและลากไปกิน จิตใจของยะกู๊บรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว แต่ประสาทสัมผัสที่หกของยะกู๊บได้รับการดลใจจากพระเจ้าว่ายูซุฟยังไม่ตาย แต่อนาคตของยูซุฟเป็นอย่างไรนั้นยะกู๊บไม่รู้ เขาจึงต้องบอกกับลูกๆที่อิจฉาริษยาน้องของตัวเองว่า “ฉันจะอดทนอย่างสวยงาม”

นั่นคือยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความหวังว่า พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ดีกว่าเป็นรางวัลตอบแทนในอนาคต และสิ่งที่เขาหวังก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะยูซุฟรอดตายและได้ไปเป็นใหญ่ในแผ่นดินไอยคุปต์

ยูซุฟเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับความรู้พิเศษจากพระเจ้า นั่นคือ เขาสามารถทำนายอนาคตเพื่อนร่วมคุกได้อย่างถูกต้อง และสามารถรู้อนาคตของอียิปต์ว่าจะเกิดความแห้งแล้งและอดอยากขาดแคลนในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งต่อมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ยูซุฟไม่ได้อวดอ้างว่าความรู้ล่วงหน้าเป็นความรู้พิเศษของเขาเอง แต่เขาบอกว่าความรู้พิเศษนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้แก่เขา

อย่างไรก็ตาม ความรู้ล่วงหน้าดังกล่าวเป็นเพียงความรู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบนโลกใบนี้ แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เมื่อหมดลมหายใจแล้วชีวิตยังไม่จบ ความตายเป็นการคลอดใหม่อีกครั้งของวิญญาณเหมือนตอนที่คลอดออกมาจากโลกแห่งครรภ์มารดา แต่ตอนที่วิญญาณคลอดจากโลกนี้ไปต้องเผชิญชีวิตที่นิรันดร และชีวิตของมันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมันขณะอาศัยอยู่ในเรือนร่างมนุษย์บนโลกใบนี้

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงต้องมีความรู้เรื่องอนาคตที่แท้จริงของตัวเองจากผู้ได้รับความรู้จากพระเจ้า และความรู้ล่วงหน้าถึงอนาคตหลังความตายนั้นเป็นความรู้พิเศษที่พระเจ้าให้แก่เฉพาะบุคคลที่เรียกว่า “นบี” ในภาษาอาหรับ และไม่มีนบีคนใดที่ไม่บอกล่วงหน้าถึงอนาคตที่แท้จริงของมนุษย์หลังความตาย


You must be logged in to post a comment Login