วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

ไทยเดินตามอดีตพม่า? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On December 15, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

วันก่อนอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” ของคุณนิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย กล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประเทศเมียนมาตกต่ำต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่นายพลเนวินยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของอูนุเมื่อ 2 มีนาคม 2505 ต้องเรียนว่าพออ่านแล้วทำให้ผมอดคิดถึงประโยคสำคัญที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า “อนาคตของประเทศไทยกำลังเดินไปสู่การเป็นอดีตของพม่า” อย่างช่วยไม่ได้

ภายหลังการปฏิวัติในพม่า คณะทหารได้ตั้งสภาปฏิวัติขึ้นมาบริหารประเทศ และช่วยกันร่างเอกสารชิ้นหนึ่งชื่อว่า Burmese Way to Socialism แปลเป็นไทยว่า “วิถีทางแบบพม่าไปสู่สังคมนิยม” ซึ่งก็คือยุทธศาสตร์ชาตินั่นเอง คณะทหารอรรถาธิบายว่าทำไมสภาปฏิวัติต้องเปลี่ยนเมียนมาเป็นรัฐที่มีลักษณะเฉพาะของตนโดยไม่สนโลก เมียนมาต้องมีหลักปกครองและหลักเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนกับประเทศอื่น โดยใช้วิธีปฏิบัติการจิตวิทยาหลอกคนเมียนมาสมัยนั้นให้เชื่ออย่างสนิทใจว่ามีกลุ่มคนชั่วร้ายในแผ่นดินที่จะต้องถูกกำจัด และต้องจัดระเบียบสังคมใหม่ให้เป็นสังคมที่มีความมั่งคั่ง มีคุณธรรมสูง เพื่อให้ประชาชนเมียนมาทุกหมู่เหล่าอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ มีความสุข มีมาตรฐานการครองชีพที่ดี และจะไม่มีการว่างงานอีกต่อไป

สภาปฏิวัติเขียนยุทธศาสตร์ชาติไว้อย่างสวยหรูดูเลิศว่า รัฐจะพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้ทันสมัย โดยเบื้องต้นรัฐจะอนุญาตให้กิจการภาคเอกชนดำเนินการต่อไป แต่ต้องถูกจำกัดสิทธิบางประการ ซึ่งผลจากการบริหารประเทศตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติที่คณะทหารเขียนไว้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้สถานะของเมียนมาต่ำเตี้ยลงไปในแต่ละปี จาก พ.ศ. 2505 จนถึง พ.ศ. 2540 เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

ยุทธศาสตร์ชาติของทหารเปลี่ยนเมียนมาจากประเทศอุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นประเทศที่ผู้คนยากจนข้นแค้น จากประเทศเจ้านายกลายเป็นชาติที่คนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตายไปรับจ้างในต่างประเทศ ผมอ่านประโยคที่คุณนิติการุณย์วิพากษ์ไว้แล้วก็เห็นด้วยจริงๆ จึงขออนุญาตยกข้อความตรงนั้นมาถ่ายทอดต่อเพื่อเป็นประโยชน์ต่อแฟนคอลัมน์ดังนี้

คณะทหารเมียนมาอาจชำนาญยุทธศาสตร์รบ แต่พอมาเขียนยุทธศาสตร์ชาติก็ต้องยอมรับว่าเขียนไม่ได้เรื่อง เพราะสิ่งที่เขียนออกมายึดเอาประโยชน์ของฝ่ายทหารและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง ละเลยและไม่เขียนเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน ยกตัวอย่างที่คณะทหารเมียนมาในสภาปฏิวัติเขียนเอาไว้ในเอกสารที่อ่านแล้วคงไม่ต้องแปลต่อ เช่น “มนุษย์ไม่ได้เท่าเทียมกันทั้งในด้านร่างกายและสติปัญญา มนุษย์จึงควรได้รับส่วนแบ่งอย่างยุติธรรมตามความสามารถของตน”

การเขียนเช่นนี้จึงทำให้ทหารเมียนมาได้ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” มากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นคณะทหารยังเขียนว่า “เมียนมาจะปกครองด้วยระบบศูนย์รวมอำนาจไว้ที่คณะผู้นำเพียงกลุ่มเดียว การปกครองแบบนี้จะถูกนำมาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เพราะเท่าที่ผ่านมาประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ และมีจุดอ่อนมากมายที่เปิดช่องให้พวกฉวยโอกาสหลอกลวงประชาชน จึงไม่สามารถเป็นที่ยอมรับกันได้อีกต่อไป”

เมื่อชนชั้นนำของเมียนมาได้อ่านยุทธศาสตร์ชาติของสภาปฏิวัติที่เขียนโดยคณะทหาร พวกที่มีแรมต่ำและมวลสมองน้อยก็เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ปลื้ม คนหลายกลุ่มฝันเฟื่องเรื่องอนาคตที่ตนเองและลูกหลานจะได้อยู่ในประเทศที่มีความมั่นคงก้าวหน้า แต่ผลสุดท้ายเรื่องนี้มีจุดจบอย่างไรคงไม่ต้องเล่าอีก

เพราะคณะทหารและยุทธศาสตร์ชาติฉบับนั้นได้เปลี่ยนแปลงเมียนมาจากประเทศที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ในอดีตให้กลายไปเป็นประเทศด้อยพัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นประเทศที่ประชาชนยากจนข้นแค้นและหมดหวัง ในขณะที่ชนชั้นนำที่เสวยสุขอยู่ในประเทศก็คือคณะทหารและพวกพ้องนั่นเอง

ผมหยิบเรื่องที่คุณนิติการุณย์เขียนเพราะเป็นห่วงประเทศของเราจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกในศตวรรษที่ 21 นั้นหมุนเร็วแบบสุดๆ การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติล่วงหน้าไป 5 ปี ก็ยังน่าเป็นห่วงว่าอาจกลายเป็นเชือกมัดแขนขาประเทศจนไม่สามารถเคลื่อนที่ตามโลกไปได้

การกำหนดยุทธศาสตร์ชาตินานถึง 20 ปี คงไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะทำให้ประเทศชาติล้าหลังหรือพินาศย่อยยับอับปาง วันนี้ท่านผู้นำสูงสุดกำลังจะพาพวกเราก้าวเดินตามรอยเท้าของเมียนมาในอดีตใช่หรือไม่? จริงหรือไม่คนไทยทุกคนต้องติดตามกันต่อไป แต่ตอนนี้ใครคิดจะออกมาโวยวายเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงคงเป็นเรื่องยาก เพราะคณะทหารไทยยืนยันชัดเจนว่า “ต้องเชื่อท่านผู้นำเท่านั้นชาติจึงจะพ้นภัย”

วันนี้คงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าสวดมนต์ภาวนา อย่าให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในเมียนมาต้องมาเกิดในประเทศของเราเลย อีกไม่กี่ปีคนในวัยเดียวกันหรือแก่กว่าพวกเราคงทยอยลาโลกกันไป แต่ลูกหลานของเราต่างหากที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรับผลกรรมที่พวกเราร่วมกันปล่อยให้เกิดขึ้นในขณะนี้ ก่อนหน้านี้นักการเมืองถูกปฏิบัติการทางจิตวิทยาของทหารถล่มอย่างเมามัน จนชาวบ้านร้านตลาดเอือมระอาและเบื่อนักการเมืองกันไปเลย เผลอๆบางท่านอาจเกลียดนักการเมืองด้วยซ้ำ

เรื่องนักการเมืองโกงเป็นเรื่องที่ถูกถล่มได้ง่ายและประชาชนพร้อมที่จะเชื่อได้อย่างไม่ยาก ที่ผ่านมามีการกล่าวหาแบบไร้หลักฐานมาโดยตลอดว่าโครงการของรัฐมีการเก็บเงินใต้โต๊ะสูงถึง 30-40% ซึ่งถ้าตรรกะเป็นเช่นนั้นจริงย่อมหมายความว่าโครงการของรัฐหากไม่มีการคอร์รัปชัน ราคาการประมูลงานย่อมต่ำลงกว่าราคากลาง 30-40% เช่นเดียวกัน ท่านผู้อ่านว่าจริงไหม

แต่ล่าสุดผลการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มปรากฏออกมาว่า สัญญา 1 กลุ่ม CKST (CK-STEC) ชนะประมูลด้วยราคา 20,698 ล้านบาท จากราคากลาง 20,735 ล้านบาท สัญญา 2 กลุ่ม CKST ชนะด้วยราคา 21,572 ล้านบาท จากราคากลาง 21,604 ล้านบาท สัญญา 3 ITD ชนะด้วยราคา 18,589.66 ล้านบาท จากราคากลาง 18,655 ล้านบาท สัญญา 4 งานทางยกระดับ UNIQ ชนะด้วยราคา 9,999 ล้านบาท จากราคากลาง 10,025 ล้านบาท และสัญญา 6 งานออกแบบและก่อสร้างระบบราง UNIQ ชนะด้วยราคา 3,750 ล้านบาท จากราคากลาง 3,790 ล้านบาท

ชัดเจนแบบนี้แล้วผมยังไม่เห็นพวกที่เคยถล่มนักการเมืองออกมาพูดอะไรเลย ตรงกันข้ามหากเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ถ้าผลการประมูลงานออกมาแบบนี้รับรองว่า “เละเป็นโจ๊ก” แน่ๆ อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าบทความของคุณนิติการุณย์ที่นำมาถ่ายทอดกับผลการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่แสดงอยู่นี้คงสร้างความกระจ่างให้กับทุกท่านไม่มากก็น้อย ไปคิดต่อกันเองนะครับ


You must be logged in to post a comment Login