วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

ปาฏิหาริย์มีจริง / โดย บรรจง บินกาซัน

On October 3, 2016

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ถ้าใครอ้างตัวเองเป็นหมอ คนผู้นั้นต้องมีหลักฐานยืนยัน อย่างน้อยที่สุดคือปริญญาแพทยศาสตร์ และที่สำคัญกว่านั้นคือใบประกอบโรคศิลปะซึ่งทำให้ผู้คนเชื่อถือ

นบีทุกคนประกาศว่าตนเองมาจากพระเจ้า และนบีทุกคนยืนยันว่าพระเจ้ามีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ดังนั้น นบีจึงจำเป็นต้องมีหลักฐานมายืนยัน หลักฐานนั้นก็คือปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์คือสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ ไม่ใช่มายากลที่เกิดจากการคิดค้นและการฝึกฝนของมนุษย์ และไม่ใช่เวทมนตร์ไสยศาสตร์ที่มนุษย์ทำขึ้นและสามารถหักล้างกันได้ แต่ปาฏิหาริย์เป็นเสน่ห์ของศาสนา เป็นการแสดงอำนาจของพระเจ้าที่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นแก่นบีบางคนในบางเวลาเพื่อยืนยันถึงอานุภาพเหนือกฎธรรมชาติของพระองค์

ไม่ใช่เรื่องยากที่คนสมัยใหม่จะเข้าใจปาฏิหาริย์ เพราะมีปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา เพียงแต่เราเห็นมันทุกวัน เราจึงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ตัวอย่างหนึ่งของปาฏิหาริย์ที่ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็คือน้ำนมแม่ ซึ่งทุกวันนี้แม้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีความเจริญก้าวหน้า แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถผลิตน้ำนมให้มีคุณสมบัติเหมือนกับนมแม่แท้ๆได้ และไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถทำให้เต้านมของตนเองมีน้ำนมขึ้นมาได้โดยไม่ต้องตั้งครรภ์

มนุษย์ทำสุ่มให้ไก่อยู่ มนุษย์จึงไม่เข้าไปนอนในสุ่มไก่ เช่นเดียวกันพระเจ้าสร้างกฎธรรมชาติควบคุมจักรวาล พระเจ้าจึงไม่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ

ในแผ่นดินไอยคุปต์หรืออียิปต์โบราณ โมเสสถูกพระเจ้าส่งมาบอกฟาโรห์ว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่ฟาโรห์กลับมองโมเสสว่ากำลังท้าทายอำนาจของเขา พระเจ้าจึงแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์ โดยสั่งให้โมเสสโยนไม้เท้าลงไปบนพื้นและไม้เท้านั้นได้กลายเป็นงูใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้นโมเสสยังเอามือล้วงลงไปในอกเสื้อของเขา และเมื่อดึงมือออกมา มือของเขามีความขาวสว่างสร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่ฟาโรห์

ในเวลานั้นมายากลและเวทมนตร์ไสยศาสตร์เป็นวิชาที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูในแผ่นดินไอยคุปต์เหมือนวิชาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ฟาโรห์จึงคิดว่าปาฏิหาริย์ของโมเสสไม่ต่างไปจากมายากลของผู้คนในแผ่นดินของเขา เขาจึงท้าให้มีการประลองกันระหว่างปาฏิหาริย์กับมายากล

หลังการประลอง นักมายากลผู้เชี่ยวชาญของฟาโรห์ต่างยอมรับว่าสิ่งที่โมเสสแสดงนั้นไม่ใช่มายากล แต่เป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้าจริงๆ และนักมายากลเหล่านั้นได้หันมาศรัทธาในพระเจ้าของโมเสส แต่ฟาโรห์ไม่ยอมรับและขู่จะฆ่านักมายากลเหล่านั้นที่หันไปสนับสนุนโมเสส ผลสุดท้ายฟาโรห์ต้องจบชีวิตพร้อมกับไพร่พลของเขาในทะเล ทั้งๆที่เห็นปาฏิหาริย์น้ำทะเลแหวกปรากฏต่อหน้า แต่ยังปฏิเสธว่านั่นไม่ใช่อำนาจของพระเจ้า

พระเยซูเกิดในยุคอาณาจักรไบแซนตินเรืองอำนาจและมีความเจริญทางด้านการแพทย์บ้างแล้ว เมื่อพระเยซูมาเผยแผ่สั่งสอนธรรมบัญญัติเดิมที่โมเสสนำมาท่านกลับถูกต่อต้าน ทั้งๆที่ผู้รู้คัมภีร์ในเวลานั้นได้เห็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้าแล้วจากการถือกำเนิดอันมหัศจรรย์ของท่าน แต่ผู้รู้และผู้มีอำนาจในเวลานั้นยังต่อต้านท่าน พระเจ้าจึงได้แสดงปาฏิหาริย์ที่เหมาะสมกับวิทยาการในยุคสมัยนั้น นั่นคือ พระเจ้าได้แสดงปาฏิหาริย์ผ่านทางพระเยซูโดยการให้ท่านรักษาคนตาบอดให้มองเห็น รักษาคนโรคเรื้อนให้หาย ทั้งๆที่วิทยาการในเวลานั้นยังไม่สามารถทำได้ แต่กระนั้นผู้มีอำนาจและมีความรู้ในหมู่ผู้คนก็ยังวางแผนกำจัดท่าน ผลก็คือ หลังจากสมัยของพระเยซู 70 ปี กรุงเยรูซาเล็มและวิหารหลังที่สองของชาวยิวถูกทำลายย่อยยับ ชุมชนชาวยิวถูกกองทัพโรมันเข่นฆ่าสังหารจนต้องหนีกระเซอะกระเซิงไร้แผ่นดินตั้งแต่นั้นมา

ปาฏิหาริย์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป พระเจ้าไม่ต้องการใช้ปาฏิหาริย์ข่มขู่มนุษย์ให้ยอมจำนนต่อพระองค์ เพราะมนุษย์มีสติปัญญาและเสรีภาพในการเลือก ปาฏิหาริย์จึงเกิดขึ้นบางครั้งแล้วก็หมดไป

หลังสมัยพระเยซู 570 ปี นบีมุฮัมมัดถูกส่งมาทำหน้าที่เหมือนโมเสสและพระเยซู นั่นคือการเรียกร้องมนุษย์ไปสู่การศรัทธาในพระเจ้า และท่านก็ประสบการต่อต้านเหมือนกับนบีก่อนหน้าท่าน พระเจ้าจึงให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแก่ท่านหลายอย่าง แต่ปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อเกิดแล้วก็หมดไป

เนื่องจากท่านเกิดในยุคที่โลกเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่นบีมุฮัมมัดนำมาและถูกทิ้งไว้ให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้เพื่อเป็นสิ่งท้าทายวิทยาการยุคใหม่ก็คือ คัมภีร์กุรอาน


You must be logged in to post a comment Login