วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

11 กันยายน 2001-วันที่โลกไม่ลืม / โดย บรรจง บินกาซัน

On September 12, 2016

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ตอนเป็นเด็กผมชื่นชอบการดูภาพยนตร์คาวบอยและภาพยนตร์สงคราม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฮอลลีวู้ด แหล่งมายาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการเสพภาพยนตร์เหล่านี้ในวัยเด็กทำให้ผมและเพื่อนอีกหลายคนมองฝรั่งเป็นฮีโร่จนหลงเอาใจช่วยฝรั่งที่ไปเข่นฆ่าชาวอินเดียนแดงเจ้าของแผ่นดินเดิมในทวีปอเมริกา

แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงที่มีการรณรงค์ต้าน “ภัยขาว” ทำให้ผมมีความคิดเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามกับเมื่อตอนเป็นเด็ก เพราะผมได้รับข้อมูลข่าวสารอีกด้านหนึ่งที่เจาะลึกจากรุ่นพี่และนักวิชาการที่ถูกเรียกว่าหัวเอียงซ้าย ประกอบกับมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น ผมจึงเริ่มใช้ตา 2 ข้างมอง และใช้หู 2 ข้างฟัง หลังจากนั้นก็ใช้สมองที่อยู่ตรงกลางชั่งน้ำหนักข้อมูลที่ได้รับ นับแต่นั้นความรู้สึกเกลียดชังนโยบายรุกรานของชาติตะวันตกก็เกิดขึ้น

ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาทำสงครามกับเวียดนาม ทั้งๆที่เวียดนามไม่เคยไปรุกรานสหรัฐ แต่รัฐบาลสหรัฐกลับส่งทหารและอาวุธไปเข่นฆ่าชีวิตผู้คนและบ้านเรือนของชาวเวียดนามอย่างเหี้ยมโหด โดยอ้างเหตุผลว่า “เพื่อสกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์”

ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นโดยชาวตะวันตก และถูกชาติมหาอำนาจตะวันตกเอามาแต่งแต้มเติมสีให้ดูน่ากลัวขึ้น หลังจากนั้นก็เอาเสื้อคลุมคอมมิวนิสต์ไปใส่ให้ชาติที่ตัวเองต้องการครอบครองหรือทำลายเพื่อเป็นเหตุผลสำหรับการโจมตีและยึดครอง ในรั้วธรรมศาสตร์มีตำราและงานเขียนมากมายที่บอกให้รู้ว่าสงครามที่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐเป็นผู้นำทำให้สหรัฐมีความมั่งคั่งจากการขายอาวุธที่กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในประเทศอย่างมหาศาล

สหรัฐในจินตภาพของผมในเวลานั้นจึงเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่มีรากชอนไชไปดูดเลือดและทรัพยากรในแผ่นดินทั่วโลกมาเลี้ยงลำต้น

คืนวันที่ 11 กันยายน 2001 ผมได้ยินข่าวตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์กลางกรุงนิวยอร์กถูกเครื่องบิน 2 ลำ พุ่งชนจนตึกถล่ม ด้วยความอคติต่อรัฐบาลสหรัฐผมรู้สึกสะใจที่สหรัฐโดนตอบโต้ และคิดว่าชาวอเมริกันคงจะคิดได้บ้างว่าเมื่อชาติของตัวเองถูกโจมตีจะมีความรู้สึกอย่างไร

สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของตะวันตก ซีเอ็นเอ็นและบีบีซี นำภาพตึกเวิลด์เทรดถูกเครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนมาแช่อยู่บนจอทีวีทั่วโลกอยู่หลายวัน และเริ่มมีข่าวค่อยๆถูกปล่อยออกมาว่าผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ครั้งนี้คือ อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำลัทธิก่อการร้าย

การแช่ภาพตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกถล่มในมุมต่างๆอยู่หลายวัน ทำให้ผมได้มีโอกาสดูภาพอย่างวิเคราะห์ ซึ่งทำให้ความสะใจของผมเปลี่ยนเป็นความสงสัยและมีคำถามติดตามมาหลายประเด็น เช่น ภาพเครื่องบินพุ่งชนตึกในมุมต่างๆทำไมจึงนิ่งเหมือนกับมีการตั้งกล้องบันทึกภาพเตรียมไว้?

ภาพคนที่ตกลงมาจากตึกในสภาพตัวตรงแนวดิ่งเป็นสิ่งผิดวิสัยของคนตกตึก?

เป็นไปได้อย่างไรที่ตึกคอนกรีตที่มีเสาเป็นเหล็กกล้าโดนเครื่องบินชนในส่วนบนจะถล่มลงมาเหมือนกับถูกช่างรับเหมาวางระเบิดไว้?

หลังจากตึกถล่มไม่มีใครพบซากส่วนของเครื่องบิน 2 ลำที่พุ่งชนตึก แต่กลับพบพาสปอร์ตของชาวอาหรับบนเครื่องบินลำนั้นและอื่นๆ

การสอบสวนสาเหตุยังไม่ทันได้เริ่ม ผมก็ได้เห็นภาพประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ออกมาแถลงข่าวผ่านสื่อทั่วโลกและยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า “ถ้าเราไม่สามารถเอาตัวอุซามะฮ์ บิน ลาดิน มารับความยุติธรรมในสหรัฐอเมริกาได้ เราจำเป็นต้องเอาความยุติธรรมไปให้พวกเขา”

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันรัฐบาลสหรัฐก็เอาความยุติธรรมใส่เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบ และเครื่องบิน ไปให้ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน ตามมาด้วยอิรักและลิเบีย แต่ผู้ได้รับความยุติธรรมกลับไม่ใช่อุซามะฮ์ บิน ลาดิน หากแต่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้หญิง คนแก่ และเด็กไร้เดียงสานับแสนคนที่ต้องเสียชีวิตและพิการ

ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่อาจนำมาใช้เป็นเหตุผลในการรุกรานโจมตีประเทศมุสลิมเหมือนในเวียดนาม เพราะประเทศมุสลิมไม่สามารถรับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธพระเจ้าได้ ลัทธิก่อการร้ายจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนเพื่อตอบสนองนโยบายรุกรานของชาติตะวันตก

สงครามครูเสดเกิดขึ้นโดยชาติตะวันตกยกทัพมารุกรานชาติมุสลิมเป็นเวลานานนับร้อยปีในขณะที่ยังไม่มีสหรัฐ แต่สงครามครูเสดยุคใหม่สหรัฐเป็นผู้นำชาติตะวันตกรุกรานชาติมุสลิมตั้งแต่เหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์


You must be logged in to post a comment Login